ตลอดระยะเวลา 135 ปีที่มิชลิน (MICHELIN) ไม่เคยหยุดพัฒนาเพื่อการสัญจร อะไรที่ทำให้มิชลินยังคงมาตรฐานและความเชื่อมั่นต่อแบรนด์มาได้กว่าร้อยปี พร้อมพาชมก้าวต่อไปที่มิชลินจะไม่อยู่แค่บนพื้นถนน แต่มุ่งสู่เทคโนโลยีเพื่อการสำรวจอวกาศร่วมกับ NASA
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
MICHELIN Story: เส้นทางสร้างสรรค์นวัตกรรมยางผ่านการเดินทางกว่า 135 ปี
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก มิชลิน (MICHELIN) ผู้นำนวัตกรรมยางรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสที่ก่อตั้งเมื่อปี 1889 โดยสองพี่น้องตระกูลมิชลิน อองเดร (André) และ เอดูอาร์ (Édouard) เดิมทีแล้วเริ่มต้นด้วยนวัตกรรมยางสำหรับรถจักรยานและรถม้า สินค้าแรกของพวกเขา คือ ผ้าเบรกสำหรับรถม้าอย่าง “The Silent”
แต่สิ่งที่ทำให้มิชลินกลายเป็นที่รู้จัก คือ นวัตกรรม “ยางแบบถอดได้ (Removable Pneumatic Tire)” สำหรับจักรยานที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่พามิชลินเข้าสู่ตลาดยางรถยนต์อย่างเป็นทางการ นวัตกรรมโดดเด่นที่ผ่านมา
ตลอด 135 ปี มิชลินเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมยางรถยนต์ และกำลังพัฒนานวัตกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ในปัจจุบันยางทุกเส้นของมิชลินออกแบบด้วยนวัตกรรมยางยั่งยืน (Performance Made to Last หรือ PMTL) ที่มอบสมรรถภาพที่ดีตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนถึงวันที่เปลี่ยน โดยก้าวต่อไปคือการผลิตยางด้วยวัสดุยั่งยืน 100% ในปี 2050
นอกจากนี้ มิชลินยังมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อนำไปเชื่อมต่อกับยานพาหนะ หรือไลฟ์สไตล์ เช่น บริการด้านการเดินทางรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นมากกว่าผู้ผลิตยางรถยนต์ โดยเน้นไปที่ 3 เรื่องสำคัญ คือ นวัตกรรมจากวัสดุชั้นสูง การมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า และ พัฒนาด้านความยั่งยืนควบคู่กันไป
ตอกย้ำว่ามิชลินเป็นบริษัทนวัตกรรมชั้นนำของโลก มิชลินได้ได้รับความไว้วางใจจากคนไทยมานานกว่า 36 ปี และครองตำแหน่ง 2024 Thailand’s Most Admired Brand แบรนด์ยางรถยนต์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบมากที่สุด 25 ปีติดต่อกันและรางวัลอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- มิชลินร่วมมือกับ NASA ในฐานะผู้จัดหายางเพียงรายเดียวสำหรับกระสวยอวกาศและร่วมเดินทางไปกับภารกิจ 135 ครั้ง ระหว่างปี 1981 ถึง 2011 มิชลินได้มีส่วนร่วมกับภารกิจด้านอวกาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด NASA ประกาศว่าทีม Moon RACER ซึ่งมี MICHELIN เป็นสมาชิก ได้รับรางวัลการศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) สําหรับระยะที่ 1 ของโครงการ ARTEMIS ที่มีชื่อว่า “Lunar Terrain Vehicle Phase 1 Feasibility Study” มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบยานพาหนะบนดวงจันทร์ที่สามารถทํางานในสภาวะสุดขั้วบนดวงจันทร์เป็นเวลา 10 ปี
- มิชลินได้รับการยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำให้เป็นยางมาตรฐานติดรถ (ยาง OE) จากหลายแบรนด์ระดับโลกอย่าง Ferrari, Porsche, Mercedes Benz AMG และ แบรนด์จักรยานยนต์ชั้นนำอย่าง Vespa, BMW, Harley Davidson, Honda, YAMAHA, KTM, และอีกมากมาย
รู้จักกับ MICHELIN ให้มากขึ้น https://www.michelin.com/en/th-innovation
ON The Road & Beyond ล้อยางที่ไม่เคยหยุดวิ่ง จากถนนสู่อวกาศ
ในปี 2024 กับการเดินทางครั้งใหม่ของมิชลินที่ไม่หยุดอยู่เพียงบนพื้นโลก แต่มุ่งสู่อวกาศกับแคมเปญ “On The Road & Beyond” ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา และมุ่งสื่อสารแคมเปญไปอีก 9 ประเทศทั่วโลก
โดยนำเสนอนวัตกรรมที่เป็นมากกว่ายาง จากการใช้เทคโนโลยีด้านวัสดุ Polymer Composites รวมกับความเชี่ยวชาญที่สะสมมากว่า 130 ปี มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในหลายด้าน เช่น นวัตกรรมสำหรับการสำรวจอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นยางล้อที่ใช้วัสดุไฮเทคพิเศษสามารถใช้สำรวจพื้นผิวบนดวงจันทร์ ยานพาหนะไร้คนขับ ไปจนถึง นวัตกรรมใบเรือเพื่อการเดินทางทะเล และยังช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย
ON THE ROAD จากถนน
ตลอดหลายร้อยปีที่มิชลินยังคงมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมบนท้องถนน โดยไม่ได้เน้นแค่คุณภาพของยางเพียงอย่างเดียว แต่มองไปถึงความปลอดภัยและความสะดวกสบายในวิถีชีวิตของผู้คนควบคู่กับสิ่งแวดล้อมด้วย จากนวัตกรรม Performance Mande to Last : PMTL นวัตกรรมยางยั่งยืนที่ยังคงเป็นแก่นในการพัฒนาของมิชลิน
แล้วนวัตกรรมของมิชลินบนท้องถนนจะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย!
ความคงทน (Longevity) & ลดเสียงรบกวน (Silence)
เทคโนโลยีที่ยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ให้ยาวนาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่มิชลินต้องการนำเสนอในผลิตภัณฑ์ตลอดมา โดยใช้ MaxTouch เทคโนโลยีที่ช่วยให้แรงสัมผัสของยางได้รับการกระจายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของยางให้สูงสุดตั้งแต่ไมล์แรกจนถึงไมล์สุดท้าย
นอกจากนี้มิชลินยังพัฒนา MICHELIN Acoustic เทคโนโลยียางที่ช่วยลดเสียงรบกวน โดยวัตถุประสงค์หลักของเทคโนโลยีนี้คือการลดเสียงที่เกิดจากการสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียงรบกวนหลักในห้องโดยสารด้วยวัสดุซับเสียงพิเศษจากภายในโครงสร้างยาง และการออกแบบดอกยางให้ลดแรงสั่นสะเทือน สร้างความสงบและผ่อนคลายขณะขับรถ แม้จะขับเป็นเวลานาน
แสดงให้เห็นว่ามิชลินไม่เพียงแต่มุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยางเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงประสบการณ์การใช้งานโดยรวมของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้งาน
ออกแบบมาเพื่อรถไฟฟ้า (SUITABLE FOR EV CARS)
ในยุคที่รถไฟฟ้ากำลังเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในตลาด แต่ในฐานะผู้ผลิตเองรถ EV มีความท้าทายหลายอย่าง เช่น แรงบิดรถและน้ำหนักที่มากทำให้ยางสึกเร็ว หรือการที่เสียงเครื่องยนต์เงียบทำให้เสียงรบกวนภายนอกชัดเจน ระยะทางที่จำกัด และเวลาชาร์จไฟที่นาน
ซึ่งยางมิชลินสามารถตอบโจทย์ความท้าทายของรถ EV ได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุการใช้งานที่ยาวนาน ความนุ่มเงียบ และช่วยเพิ่มระยะทางในการชาร์จแบต ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ เพราะยางทุกรุ่นของมิชลินผลิตขึ้นเพื่อใช้กับรถ EV ได้ด้วยเทคโนโลยี Max Touch ในการกระจายสัมผัสระหว่างล้อกับพื้นถนน หนึ่งในเทคโนโลยีนวัตกรรมยางยั่งยืน Performance Made to Last ที่มีเทคโนโลยีประกอบอีกกว่า 27 รายการ ซึ่งใช้ได้กับทั้งรถน้ำมันและรถ EV อีกทั้งยังคงทนไม่เสื่อมสภาพตามจุดมุ่งหมายของมิชลิน
ปกป้องพื้นที่เกษตรกรรม (Agricultural lands protection)
มิชลินคิดค้น MICHELIN CTIS หรือ ระบบควบคุมแรงดันลมยางจากส่วนกลาง เป็นเทคโนโลยีที่ใช้กับรถยนต์และเครื่องจักรทางการเกษตร แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยปกป้องพื้นที่เกษตรกรรมด้วย
ระบบ CTIS จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแรงดันลมยางได้ขณะขับขี่ โดยไม่ต้องหยุดรถ ทำให้สามารถลดแรงกดทับบนพื้นดินจากการกระจายน้ำหนัก ทำให้รักษาโครงสร้างของดินให้อุดมสมบูรณ์ในระยะยาว และยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแม้จะลุยถนน ทุ่งนา หรือพื้นน้ำที่เปียกแฉะ
นอกจากประโยชน์ต่อพื้นที่เกษตรกรรมแล้ว ระบบนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง ประหยัดเชื้อเพลิง และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ตามเป้าหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับการรักษาความยั่งยืนทางธรรมชาติ
BEYOND TIRES สู่อวกาศ
อีกก้าวใหม่ของมิชลินที่ไม่จบอยู่แค่บนพื้น แต่มุ่งไปสู่นวัตกรรมทางอวกาศที่การค้นคว้าของมนุษยชาติยังไม่รู้จบ
การสำรวจอวกาศ (Space Exploration)
การสำรวจอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมิชลิน เพราะมิชลินได้ร่วมมือกับ NASA ในฐานะผู้จัดหายางเพียงรายเดียวสำหรับกระสวยอวกาศและร่วมเดินทางไปกับภารกิจ 135 ครั้ง ระหว่างปี 1981-2011
มิชลินได้พัฒนา “ยางไร้ลม (Airless Tyre)” เทคโนโลยียางระดับสูงที่สามารถใช้งานบนอวกาศได้ โดยโครงสร้างของยางไม่ต้องใช้ลมในการรักษาโครงสร้าง แต่ใช้วัสดุและการออกแบบพิเศษแทน สามารถทนต่ออุณหภูมิสุดขั้ว (สูงกว่า 100°C และต่ำกว่า -240°C) รวมไปถึงรังสีจากดวอาทิตย์และกาแล็กซีได้ โดยยังรักษาอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ยานสำรวจ และแรงยึดเกาะบนพื้นผิวที่ขรุขระได้
โดยล่าสุด NASA ได้ประกาศว่าทีม Moon RACER ที่มิชลินมีส่วนร่วม ได้รับรางวัล Feasibility Study สำหรับระยะแรกในโครงการ ARTEMIS ของ NASA อีกด้วย โครงการ “Lunar Terrain Vehicle Phrase 1 Feasibility Study” โครงการพัฒนานวัตกรรมสำหรับใช้งานบนดวงจันทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อออกแบบยานพาหนะสำหรับดวงจันทร์ได้เป็นเวลา 10 ปี
เทคโนโลยีด้านอวกาศของมิชลินน่าติดตามเป็นอย่างมาก เพราะสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับใช้กับนวัตกรรมบนพื้นโลก เพื่อวิถีชีวิตของผู้คนที่ดีขึ้นในทุกวัน ดีต่อคนและต่อโลก
กลยุทธ์ทำธุรกิจให้ยั่งยืนจาก MICHELIN ที่ไม่เคยหยุดพัฒนา
จากนวัตกรรมที่เราพูดถึงไปด้านบน มีจุดที่น่าสนใจในการเติบโตของมิชลินตลอด 135 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ จุดยืนที่ชัดเจนและไม่เสื่อมตามยุคสมัย นั่นคือ การมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อวิถีชีวิตของคน และการรักษาคุณภาพ
เราเลยสรุปกลยุทธ์การทำธุรกิจที่ยั่งยืนของมิชลินมาเป็น 5 ข้อสำคัญ
1. มี Vision, Mission และ Brand Position ที่ชัดเจนและแข็งเรง
มิชลินเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่สร้างรากฐานของแบรนด์ไว้แข็งแรงมาก ด้วยการกำหนดจุดยืนที่ชัดเจน และสำคัญคือทำได้จริง นั่นคือ “แบรนด์ที่พัฒนานวัตกรรมการสัญจรเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นสู่ความยั่งยืน 100% ภายในปี 2050” วลีนี้กลายเป็นแก่นที่สะท้อนผ่านการพัฒนาตลอดร้อยปีของมิชลิน เพราะไม่ว่าเมื่อไร มนุษย์ก็ต้องเดินทาง และต้องการชีวิตที่ดีขึ้นอยู่ทุกวัน
2. ลงทุนกับการพัฒนานวัตกรรมตามการเปลี่ยนแปลงของโลก
เพื่อตอบโจทย์จุดยืนที่จะพัฒนาการสัญจรเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น มิชลินพร้อมลงทุนพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อให้แตกต่างและแก้ไขปัญหาจนกลายเป็นอันดับหนึ่งในวงการ แม้จะเป็นอันดับหนึ่งแล้ว มิชลินก็ยังไม่หยุดพัฒนานวัตกรรม โดยมองไปถึงการสำรวจทางอวกาศด้วย
3. รักษามาตรฐานด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และบริการ
เมื่อธุรกิจเติบโตไปในระยะหนึ่ง หลายๆ ธุรกิจอาจเลือกเพิ่ม Product line ให้มากขึ้น จนลดทอนคุณภาพของสินค้าแม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นหนทางสู่อันตรายที่แบรนด์ไม่ควรทำ เพราะ คุณภาพที่ลดลงเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายความเชื่อใจของลูกค้าต่อแบรนด์ได้
ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่มิชลินให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้จะลงทุนกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ แต่คุณภาพของสินค้าทุกชิ้นจะต้องได้มาตรฐานและรับการรับรองอย่างดี ไปจนถึงการบริการหลังการขายที่ดูแลลูกค้าตลอดการใช้งาน
4. คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก เพราะในการก้าวหน้าล้วนแลกมากับการใช้ทรัพยากร แต่มิชลินคำนึงถึงจุดนี้เป็นสำคัญ และพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมเพื่อการเกษตร การลดการใช้พลาสติกห่อหุ้มยางมอเตอร์ไซค์ หรือ การผลิตยางทุกเส้นของมิชลินด้วยนวัตกรรมยางยั่งยืน หรือ Performance Mande to Last : PMTL ที่คงคุณภาพของยางและใช้งานอย่างคุ้มค่าจนวันสุดท้ายของรอบการเปลี่ยนยาง เพื่อลดการสร้างขยะอย่างไร้ประโยชน์
5. คว้าโอกาสและขยายขอบเขตทางธุรกิจ
เมื่อธุรกิจดำเนินมาถึงจุดหนึ่งต้องเริ่มมองหาความเป็นไปได้อื่นๆ แต่ยังไม่ทิ้งจุดยืนที่เป็นเหมือนรากฐานของแบรนด์ มิชลินมองเห็นโอกาสของนวัตกรรมทางอวกาศ ทั้งพาหนะที่เดินทางบนดวงจันทร์ได้และปลอดภัย ซึ่งความรู้ตรงนี้ก็สามารถนำกลับมาพัฒนาด้านอื่นได้
ไม่ว่าจะการเดินเรือ มิชลินก็ได้พัฒนาเรือใบเป่าลมที่ลดเรื่องก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปจนถึง นวัตกรรมทางการแพทย์ในการสร้างขาเทียมที่ช่วยพัฒนาตรงข้อต่อให้ขยับได้ลื่นไหลมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการขยายขอบเขตทางธุรกิจเข้าสู่หลายๆ ไลฟ์สไตล์ของคน
สรุป
มิชลิน (MICHELIN) เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ไม่หยุดพัฒนาตลอดเส้นทางร้อยกว่าปี จากการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง จุดยืนที่มั่นคงแต่เรียบง่าย และตอบโจทย์ปัญหาของผู้บริโภค ทำให้มิชลินเติบโตและต่อยอดจากแก่นที่แข็งแรง กลายเป็นแบรนด์ที่สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ นวัตกรรมในระดับโลก
รู้จักกับ MICHELIN ให้มากขึ้น https://bit.ly/4731ell
ตาคุณแล้ว
ถึงเวลาของคุณบ้างแล้ว! ใครที่อยากสร้างธุรกิจให้เติบโตและมั่นคงเหมือนมิชลิน ลองอ่านกลยุทธ์เหล่านี้แล้วปรับใช้กับธุรกิจของคุณดูสิ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้านะคะ
#MICHELINonRoadandBeyond #MICHELINMotionForLife #MICHELINThailand