เทรนด์ Content Marketing 2023 มีอะไรบ้าง?

การทำ Content Marketing นั้นมีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

รูปแบบการทำคอนเทนต์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้ง Text, Image, Video หรือ Voice ความนิยมของแพลตฟอร์มก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลง เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยให้การทำ Content Marketing ดีและง่ายขึ้นก็มีมากขึ้น

การเลือกทำ Content Marketing ได้อย่างถูก Strategy ถูก Format ถูก Platform ก็เปรียบเหมือนว่าคุณจะได้ขี่คลื่นยักษ์ เดินทางไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น

ในบทความนี้ ผมจะมาแชร์ 9 Content Marketing Trend 2023: เทรนด์การทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งในปี 2023 ที่คุณควรรู้ เพื่อทำให้คุณหา “คลื่นยักษ์” ในรูปแบบของคุณได้เจอนะครับ 🙂

ทั้งนี้ ผมมักจะพูดย้ำเสมอ ไม่ว่าการทำ Content Marketing จะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ไหน เทรนด์ต่างๆ จะมีการอัปเดตอย่างไร เรื่องพื้นฐานของการทำ Content Marketing เช่นการเข้าใจ Persona หรือการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ (เช่นการแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพ หรือกระตุ้นความสนใจให้คน) ก็ยังสำคัญมากๆ อยู่นะครับ

และเนื้อหาในบทความนี้มีทั้งสถิติที่ผมเอามาจากที่ต่างๆ และที่เป็นความเห็นของผมเองนะครับ อ่านแล้ว อย่าเชื่อทั้งหมด ต้องเอาไปคิดต่อ และปรับใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของตัวเองด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม: Content Marketing แนะนำวิธีทำ Content Marketing ตั้งแต่ต้นจนเผยแพร่ผลงาน และ Digital Marketing Trends 2023: เทรนด์การตลาดออนไลน์ปี 2023 ที่สรุปมาให้แล้ว!

1. คนชอบคอนเทนต์ที่ “ปฏิสัมพันธ์” ด้วยได้

HubSpot ได้ทำการสำรวจนักการตลาดทั่วโลกมากกว่า 1,600 คน และเผยแพร่ State of Inbound Marketing Trends 2022 ออกมา ซึ่งหนึ่งในหัวข้อหลักที่มีการพูดถึงคือ Content Marketing Trends

รูปจาก State of Inbound Marketing Trends 2022

ซึ่งนักการตลาดต่างๆ บอกว่า คอนเทนต์ที่ “ปฏิสัมพันธ์” ด้วยได้ หรือ Interactive Content นั้นจะเป็นที่นิยม

ตัวอย่าง Interactive Content ที่ถูกใช้บ่อยๆ เช่น Quiz หรือ Poll

อย่าง Content Shifu เองก็เคยทำคอนเทนต์ประเภทนี้ ซึ่งก็คือโปรแกรมคำนวนค่าทำเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Calcula’te ซึ่งหลังจากที่ลองตอบคำถามประมาณ 10 ข้อ ระบบจะคำนวนให้เลยว่าเว็บไซต์ที่คุณอยากได้จะมีราคาอยู่ในช่วงไหน

นอกจากนั้นแล้ว คอนเทนต์ประเภท Gaming, Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR) ที่กระตุ้นให้คนมาเล่นและมามีส่วนร่วมก็เป็นอีกรูปแบบที่มาแรงเช่นกัน

รูปจากหน้าแรกของ Wirtual

ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เริ่มมีแพลตฟอร์มที่อยู่ในรูปแบบ xx to Earn ถูกปล่อยออกมาและเป็นที่นิยมมากขึ้น เช่น Play to Earn หรือ Exercise to Earn (เช่น Wirtual)

มนุษย์เองเป็นสัตว์สังคม ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ถ้ามีทางเลือกให้มนุษย์ปฏิสัมพันธ์ได้ มนุษย์ย่อมต้องอยากเลือกทางนี้มากกว่า

2. การแสดงให้เห็นถึง Brand’s Values เป็นสิ่งสำคัญ

ข้อมูลใน State of Inbound Marketing Trends 2022 ชุดเดิมได้บอกว่า ในปีที่ผ่านๆ มาการทำคอนเทนต์ที่แสดงให้เห็นถึง Brand’s Values หรือคุณค่าที่แบรนด์ยึดถือต่างเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะคนต่างอยากปฏิสัมพันธ์ หรือซื้อสินค้า/บริการ จากแบรนด์ที่ยึดถือคุณค่าเดียวกับพวกเขาด้วยกันทั้งนั้น

ตัวอย่างเช่นการที่ Microsoft เปิดตัวและทำแคมเปญเกี่ยวกับ Adaptive Accessories ที่ช่วยให้ผู้พิการสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ของ Microsoft ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ซึ่งสำหรับการทำ Content Marketing ในรูปแบบนี้ ในความเห็นของผม การทำแค่ Storytelling นั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องทำ Storydoing ด้วย อย่างที่ Microsoft ไม่ได้แค่บอกว่าพวกเขาแคร์ผู้พิการ แต่พวกเขาลงมือสร้างอุปกรณ์สำหรับผู้พิการขึ้นมาจริงๆ เลย

คนชอบสังสรรค์กับคนคล้ายๆ กันฉันใด คนก็ชอบซื้อของจากแบรนด์ที่ยึดถือคุณค่าคล้ายๆ กันฉันนั้น

3. Niche is Bliss

Niche is Bliss, Mass is Bad เป็นคำกล่าวที่ผมคิดค้นขึ้นมา (อย่างภาคภูมิใจ 😂) และใช้พูดเป็นประจำ

การทำคอนเทนต์ของคุณ ไม่ควรจะถูกทำขึ้นมาเพื่อคนทุกคน เพราะถ้าคุณเป็นทุกสิ่งให้กับทุกคนแล้ว แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรสำหรับใครเลย

ในโลกที่ความสนใจของคนมีความเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น ใครที่ทำคอนเทนต์ที่เจาะจงสำหรับคนแค่บางกลุ่ม จะได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น

รูปจาก Jone's Salad

ตัวอย่างเช่นร้าน Jone’s Salad ที่โฟกัสเรื่องการคอนเทนต์สายสุขภาพผ่านการเล่าเรื่องด้วยการ์ตูนน่ารักๆ เป็นหลัก (อาจจะมีการเอาเรื่องอื่น หรือวิธีการอื่นมาปนบ้าง แต่ Theme หลักยังไงก็ยังคงเกี่ยวข้องกับการเล่าเรื่องสุขภาพผ่านการ์ตูน)

หรืออีกตัวอย่างที่ดีเช่นเพจ ทำที่บ้าน ที่โฟกัสเรื่องการแชร์ความรู้และประสบการณ์ธุรกิจสำหรับทายาทที่ต้องรับช่วงต่อจากที่บ้าน

ยิ่งทำคอนเทนต์ได้เจาะจง ยิ่งน่าสนใจ

4. วิดีโอ… มาแรง

โดยเฉพาะวิดีโอในรูปแบบ Short-form ที่ทั้ง TikTok, YouTube (YouTube Shorts), Facebook (Facebook Reels) และ Instagram (Instagram Reels) ต่างลงมาเล่นตลาดนี้

รูปจาก DAAT

สถิติจาก Thailand Digital Advertising Spend 2022 ของทาง DAAT ที่ทำการสำรวจข้อมูลจาก Agency ใหญ่ๆ ต่างๆ ในประเทศไทยได้บอกไว้ว่า ในปี 2023 TikTok เป็น Media อันดับแรกที่พวกเขาวางแผนว่าจะใช้ให้กับลูกค้า (แบรนด์) ในอนาคต (ถ้าเทียบกับปี 2021 ที่ TikTok เป็นอันดับ 7 แล้ว ถือว่า TikTok เป็น Platform ที่มาแรงมากๆ)

ซึ่ง Agency เองก็ถือเป็นกระบอกเสียงของแบรนด์เหมือนกัน

นอกจากนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่วิดีโอสั้นที่ไปได้ดี วิดีโอแบบยาวเองก็ยังคงเป็น Format ที่ยังมีความสำคัญอยู่เหมือนกัน

รูปจาก Think with Google

ข้อมูลจาก Google ได้บอกไว้ว่าเทรนด์การค้นหา Video Essays หรือวิดีโอที่มีความยาวระหว่าง 25 นาทีจนถึง 1 ชั่วโมงก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

โดยสรุปก็คือ วิดีโอไม่ว่าจะสั้นหรือยาวต่างก็เป็นเทรนด์ขาขึ้น มีประโยชน์และจุดประสงค์ในตัวเอง

5. อยากไปไกลต้องไปด้วยกัน

ไปคนเดียวไปได้ไกล ไปด้วยกันไปได้ไกลกว่า

ในปีที่ผ่านมามีตัวอย่างของการทำ Collaboration & Partnership จาก Brand หรือ Influencer ดังๆ ที่ทำให้ 1+1 นั้นเป็นมากกว่าแค่ 2 อยู่หลายเคสต์

รูปช้างดาว : ห่านคู่

ตัวอย่างเช่นการร่วมมือกันของแบรนด์ที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนานอย่างห่านคู่ (แบรนด์เสื้อ) และช้างดาว (แบรนด์รองเท้า) ที่ผลิตสินค้า Limited Edition ออกมา และกลายเป็นกระแสที่คนอยากจะสั่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง

รูปจาก Twitter ของ Luis Vuitton

นอกจากไอเดียแบบ Brand x Brand แล้ว การที่ Brand เอา Influencer มาร่วมมือกันก็เป็นอีกท่าที่นิยมในปีที่ผ่านมา และในปี 2023 และปีถัดๆ ไปก็อาจจะเห็นวิธีนี้มากขึ้นเช่นกัน ดังตัวอย่างทางด้านบนที่ Louis Vuitton จับเอาคู่แข่งตลอดกาลในวงการฟุตบอลอย่าง Lionel Messi และ Christiano Ronaldo มาอยู่ร่วม Frame เดียวกัน ซึ่งส่งผลให้คอนเทนต์เป็นกระแสที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน (และแน่นอนว่าตัว Louis Vuitton ก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วยไปเต็มๆ)

นอกเหนือจากการทำ Partnership แล้ว อีกหนึ่งรูปแบบของการตลาดแบบร่วมมือที่จะยิ่งเป็นนิยมมากขึ้นคือการทำ Affiliate Marketing ที่ Brand สามารถนำสินค้าหรือบริการไปให้ Influencer/Creator ช่วยโปรโมต และถ้าขายของได้ Influencer/Creator ก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากการที่แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง TikTok ใส่ฟีเจอร์นี้เข้าไปใน TikTok Shop และ LINE ก็ใส่ฟีเจอร์นี้เข้าไปใน LINE Shopping ด้วย

การทำ Content Marketing แบบตัวคนเดียวก็ทำได้ แต่ถ้าร่วมมือกับ Brand / คน ที่ใช่ จะยิ่งทำให้ผลลัพธ์ของการทำ Content Marketing ไปได้ไกลยิ่งกว่า

6. ของเก่า เล่าใหม่ = ของใหม่

คอนเทนต์ที่เก่า แต่ถ้าเอามาเล่าให้คนใหม่ คอนเทนต์นั้นๆ ก็จะกลายเป็นของใหม่

เช่นกัน คอนเทนต์ที่เก่า แต่เอามาเล่าด้วยวิธีการแบบใหม่ ฟอร์แมตแบบใหม่ หรือแพลตฟอร์มที่ต่างไป คอนเทนต์นั้นๆ ก็จะกลายเป็นของใหม่

สิ่งที่นักการตลาดสายคอนเทนต์ต้องเคยทำและคุ้นเคยดีก็อาจจะเป็นการทำ Content Repurposing ในรูปแบบง่ายๆ เช่นเอาเนื้อหาจากในบทความมาแปลงเป็น Social Post หรือ Social Album

นอกจากนั้นแล้ว เทรนด์การเอาคลิปที่ถ่ายและตัดต่อบน Social Media Platform บางตัว ไปลงแพลตฟอร์มอื่น (เช่นเอาคลิปที่ตัดต่อและเผยแพร่บน TikTok ไปโพสต์ต่อบน Facebook & Instagram) ก็เป็นอีกเทรนด์ที่น่าสนใจและน่าจะเกิดมากขึ้นกว่าเดิมอีกเช่นกัน

7. Automation ช่วยทุ่นแรง

การเอา Martech หรือระบบ Automation ต่างๆ นั้นเริ่มถูกเอามาใช้กันอย่างแพร่หลายมาหลายปีแล้ว ในปีหน้าและปีถัดๆ ไป โซลูชันต่างๆ ก็จะยิ่งดีและยิ่ง Advance มากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างรูปของ Buffer

ตัวอย่างการเอา Automation มาใช้ทุ่นแรงในการทำ Content Marketing เช่น การใช้พวก Social Media Management Platform เช่น Hootsuite หรือ Buffer ในการบริหารจัดการ Social Media หลายๆ ตัวพร้อมกัน

รูปการทำ Auto-comment จาก Publer

หรือการใช้เครื่องมืออย่าง Publer ที่สามารถช่วยให้คุณตั้งเวลาใส่คอมเมนต์อัตโนมัติหลังจากที่คุณโพสต์เนื้อหานั้นๆ ไป (อาจจะเพื่อใส่แหล่งอ้างอิง หรือทำให้คนรู้สึกว่าคอนเทนต์นั้นๆ มีคนเข้ามาปฏิสัมพันธ์ด้วยแล้ว

นอกจากนั้นแล้ว พวก AI Writer โดยเฉพาะ AI Writer ที่ใช้ AI จาก GPT-3 ของ OpenAI ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าจับตามองมากๆ

รูปผลลัพธ์​ AI Writer ภาษาอังกฤษ

จากประสบการณ์ของผมเอง เมื่อ 3-4 ปีก่อน ระบบ AI ยังเขียนภาษาอังกฤษได้ไม่ดี แต่ล่าสุดที่ผมลองทดสอบใช้ AI Writer เขียนคอนเทนต์ภาษาอังกฤษขึ้นมา ปรากฏว่าหลายๆ ตัวเริ่มทำได้ดี และเริ่มมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น AI ก็จะเริ่มฉลาดขึ้น

ซึ่งในความเห็นของผม ถ้าเป็นคอนเทนต์ภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าบทบาทของ AI ที่มีต่อการทำคอนเทนต์จะน่าจับตามองมากๆ ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าครับ

รูปผลลัพธ์​ AI Writer ภาษาไทย

ส่วนคอนเทนต์ภาษาไทย จากที่ผมลองทดสอบมา ผมพบว่า มันยังอยู่แค่ในระดับ “อ่านพอรู้เรื่อง” แต่ยังไม่สามารถเอาไปใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยปริมาณ Input ของ Data ของภาษาไทยที่น้อยกว่าภาษาอังกฤษมาก ผมคิดว่าระยะเวลาในการพัฒนาในเรื่องนี้คงจะต้องดูกันยาวๆ ไปอีกใน 3-5 ปีข้างหน้าครับ

8. อีเวนต์กลับมาแล้ว (แต่ไม่ได้เป็นเหมือนอดีต)

ส่วนตัวผมเอง ผมมองว่าการทำ Event Marketing ก็เป็นอีกท่าหนึ่งของการทำ Content Marketing

ถ้าทำดีๆ นอกจากจะได้ชื่อเสียง (Authority) เพิ่มขึ้นแล้ว ยอดขายก็จะตามมาอีกด้วย

ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 2022 ผมพบว่าอีเวนต์ต่างๆ เริ่มกลับมาจัดกันกันแบบ On Ground มากขึ้น (มากจนไปให้ครบไม่ไหว 😂)

แต่การกลับมาของการจัดงานอีเวนต์นี้ ไม่เหมือนกับช่วงยุคก่อน COVID-19 เพราะมันไม่ได้ถูกจัดแค่ในรูปแบบ On Ground แต่หลายๆ งานที่ผมเห็น พวกเขาเลือกที่จะทำแบบ “Hybrid” คือมีทั้ง On Ground และ Online ที่จะดูสดหรือดูย้อนหลังก็ได้

ตัวอย่างการแจ้งเงื่อนไขในการรับชมงานแบบออนไลน์ของ Creative Talk Conference ในปี 2022

งาน Conference ดังๆ อย่างเช่น Creative Talk Conference, Digital SME Conference Thailand หรือ iCreator Conference ต่างก็จัดงานแบบ Hybrid ในรูปแบบนี้กันทั้งนั้น

ซึ่งผมเชื่อว่าการจัดงานอีเวนต์ในปีหน้าๆ นั้นจะมีวิธีการและเทคโนโลยีที่หลากหลายและน่าตื่นเต้นมากขึ้น ทั้งจากผู้จัดงานเอง หรือจาก Martech สายอีเวนต์เช่น ZipEvent หรือ Eventpop

ถ้าคุณอยากที่จะทำ Event Marketing ผมแนะนำให้คุณลองไปดูตัวอย่างงานของคนที่เคยจัดมาแล้ว กับดูเรื่องการใช้งานเทคโนโลยีดีๆ เพราะมันจะช่วยให้การทำ Content Marketing ผ่านการจัดอีเวนต์ออกมาได้น่าสนใจขึ้นแน่ๆ ครับ

9. ยุคแห่ง Data Collection & Content Personalization

กลางปี 2022 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act หรือที่รู้จักกันในชื่อ PDPA) ขึ้นมา เพราะฉะนั้นธุรกิจเองก็ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการเก็บและบริหารจัดการข้อมูลของลูกค้าหรือผู้ติดตามด้วยตัวเองมากขึ้น จะหวังพึ่งแต่ Third Party Data (เช่นข้อมูลจาก Pixel ของ Facebook) ไม่ได้

นอกจากนั้นแล้ว คนเองก็คาดหวังว่าคอนเทนต์ที่พวกเขาจะได้รับนั้นจะต้องมีความ Personalize หรืออธิบายง่ายๆ คือจะต้องเป็นคอนเทนต์เฉพาะสำหรับฉัน กันมากขึ้น

เพราะฉะนั้นการทำคอนเทนต์ในปีหน้าและปีถัดๆ ไป มันจะไม่ใช่การทำคอนเทนต์แบบเดียวกันให้กับผู้ติดตามของคุณทุกคนอีกแล้ว แต่สิ่งที่คุณจะต้องเริ่มคิดคือจะทำอย่างไรที่จะสามารถส่งมอบคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละ Persona ของคุณได้

ตัวอย่างจาก Content Shifu ที่เราเริ่มทำกันมาแล้วก็คือการเก็บข้อมูลดูว่าผู้ติดตามของเราทำงานในตำแหน่งไหน (Job Function) เช่นเป็น Management, HR หรือ IT หรือทำงานในอุตสาหกรรมไหน (Business Category) เช่น Media, Marketing Agency/Consulting หรือ Consumer Goods

ซึ่งในบางครั้ง เราก็จะทำการส่งคอนเทนต์หาเฉพาะคนที่ Profile บางอย่างโดยเฉพาะ เช่นถ้าเรามีคอนเทนต์เกี่ยวกับ Corporate Training กลุ่มคนที่จะได้รับเนื้อหาเรื่องนี้ก็จะเป็น HR ที่เป็นคนที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง ไม่ใช่ Officer ที่ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ เป็นต้น

ในยุคปัจจุบัน สิ่งที่มีมากมายเหลือเฟือคือคอนเทนต์ สิ่งที่ขาดแคลนคือเวลา เพราะฉะนั้นยิ่งคุณสามารถทำคอนเทนต์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับคนแต่ละคนได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดี

สรุป

และนี่คือเทรนด์ Content Marketing 2023 ที่ผมอยากจะหยิบมาแชร์คุณในบทความนี้นะครับ

หลังจากอ่านจบแล้ว ผมแนะนำให้คุณกลับไปคิดต่อว่าเรื่องไหนที่คุณจะสามารถทำเพิ่มเติมเพื่อเอาไปต่อยอดกับแผนการทำ Content Marketing ของคุณในปีหน้าได้บ้าง

และสุดท้ายที่อยากเน้นย้ำคือไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรใหม่ที่ผ่านเข้ามาเป็นเทรนด์มากแค่ไหน เรื่องพื้นฐานของการเข้าใจผู้ติดตาม/ลูกค้า และการทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพที่ดียังเป็นเรื่องที่สำคัญนะครับ

ขอให้ปี 2023 เป็นปีที่คุณทำ Content Marketing ได้ตามที่ตั้งใจไว้ครับ 🙂

ตาคุณแล้ว

คุณคิดว่าการทำ Content Marketing ในปี 2023 จะเป็นยังไงบ้าง? และมีอะไรที่คุณอยากจะทำเพิ่ม/เลิกทำบ้างรึเปล่า มาแชร์กันต่อได้ในคอมเมนต์นะครับ!