เทรนด์การตลาดออนไลน์ 2024 จะเป็นอย่างไร?

พอมีคำว่าเทรนด์แล้ว คนอาจจะคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่มันแปลกใหม่ เป็นกระแส ที่ต้องขี่ตามไปให้เร็ว ไม่อย่างนั้นจะตกขบวน

ซึ่งมันก็จริงส่วนหนึ่ง…

แต่ผมอยากจะเน้นย้ำตั้งแต่ตอนเปิดบทความนี้เลยว่า “การตลาดออนไลน์” เป็นส่วนหนึ่งของ “การตลาด” ซึ่งเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจคน ทำความเข้าใจลูกค้า และนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ (หรือในบางครั้ง… สิ่งที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องการ)

สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เทรนด์ใหม่ๆ จะมาอีกกี่เทรนด์ ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น

เทรนด์เป็นสิ่งที่อ่านให้รู้ เอาไว้เป็นวัตถุดิบเพิ่มเติมใส่หัวสมอง ใช้เป็นข้อมูลเพื่อส่งเสริมการทำการตลาด ไม่ใช่เป็นวัตถุดิบหลักในการทำการตลาด เพราะไม่อย่างนั้น เมื่อไหร่ที่เทรนด์นั้นๆ หมดกระแสไป คุณเองก็อาจจะตกกระแสตาม

สิ่งที่ผมจะแชร์ในบทความนี้ บางเรื่องก็เป็นเรื่องใหม่ล่าสุดที่ได้ข้อมูลมาจากปี 2023 บางเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีเทรนด์ขาขึ้นอยู่

ผมขอหยิบเอาเทรนด์มาเล่าผ่านหัวข้อสำคัญ 7 หัวข้อที่ทุกคนที่ทำการตลาดออนไลน์ควรรู้นะครับ เทรนด์ต่างๆ ที่เอามาเล่า ไม่ได้เรียงตามอันดับหรือเป็นขั้นเป็นตอนเพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกันหมด

เทรนด์ 7 อย่างนี้ได้แก่ Digital Strategy, Martech, AI, Digital Advertising, Data, Content Marketing และ Social Media นะครับ

เนื้อหาที่เอามาแชร์ มีทั้งอันที่เอา Data จากหลายๆ แหล่งมา Backup มีทั้งอันที่พูดคุยกับคนในแวดวง Digital marketing ของไทย และมีทั้งอันที่เป็นความเห็นของผม เพราะฉะนั้นอ่านแล้วอย่าเชื่อทั้งหมด ต้องเอาไปศึกษา และเอาไปคิดวิเคราะห์ต่อนะครับ

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว มาดูเทรนด์การตลาดออนไลน์สำหรับปี 2024 กันเลยครับ!

Disclaimer: เนื้อหาในบทความนี้ อาจจะมีมุมที่ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบกับ Platforms หรือ Providers บ้าง ผมพยายามจะเรียบเรียงอย่างเต็มที่และเขียนด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ในภาพรวม และไม่ให้ความสัมพันธ์ต่างๆ ที่ผมเองอาจจะมีกับ Platforms หรือ Providers มา Influence เนื้อหาในบทความนี้นะครับ 🙂

ยาวไปอยากเลือกอ่าน

1. เทรนด์เกี่ยวกับ Digital Strategy

Gartner ได้ทำการ Survey CMO ทั่วโลกกว่า 400 คน และออก Report The State of Marketing Budget & Strategy in 2023 มา และผมคิดว่ามีชุดข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง เลยอยากจะเอามาสรุปให้ได้อ่านกันครับ

*สถิติเหล่านี้เป็นสถิติแบบ Global (ทั้งนี้ผมคิดว่าคนทำ Survey น่าจะ Base ที่ US เป็นหลัก) ข้อมูลส่วนนี้ดูเป็น Guideline ได้ แต่อาจจะไม่ตรงกับของบ้านเรา 100% ครับ

งบประมาณสำหรับการทำการตลาดต่อรายได้ขององค์กรต่างๆ เริ่มทรงตัว

ในปี 2022 งบการตลาดกระโดดขึ้นมาจากปี 2021 ค่อนข้างมาก ซึ่งใน Digital Marketing Trend ของปีที่แล้ว ผมเคยเขียนเหตุผลไว้ว่า ความมั่นใจของธุรกิจต่างๆ เริ่มจะกลับมา และโลกของเรากำลังจะก้าวข้าม COVID-19 ไปแล้ว

แต่ในปี 2023 นี้ ตัวเลขงบประมาณกลับทรงๆ ตัว (ลดลงนิดหน่อย) ซึ่งในความเห็นของผม ผมคิดว่าเป็นปัจจัยมาจากความถดถอยทางเศรษฐกิของหลายๆ ประเทศ รวมไปถึงเรื่องสงครามและการเมืองที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ

สิ่งที่ CMO (หรือคนที่ดูแลเรื่องการตลาดในองค์กร) ต้องทำ

ข้อมูลจาก Gartner บอกไว้ว่าสิ่งที่ CMO (หรือคนที่ดูแลเรื่องการตลาดในองค์กร) จะต้องทำมีอยู่ 3 อย่างหลักๆ คือ

  • โฟกัสเรื่อง Growth, Yield & Return หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่าการกิจกรรมการตลาดทุกอย่างจะต้องโฟกัสเรื่องการเติบโต อัตราผลตอบแทน และผลตอบแทนจากการลงทุน
  • ต้องทำ Technology Optimization หรือคือการเพิ่ม Utilization Rate (ทำยังไงให้คนในองค์กรใช้งานเทคโนโลยีได้เต็มประสิทธิภาพ) และเพิ่ม ROI (Return on Investment หรือผลตอบแทนจากการลงทุน)
  • ต้องทำการวัด KPI ในช่องทางที่หลากหลาย (Multichannels) และต้องวัดผลในแต่ละช่วงของ Customer Journey ด้วย

Budget Allocation ตาม Digital Channels

จาก Survey ของ Gartner พบว่าแบรนด์วางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณไปกับช่องทางอย่าง Social Advertising, Digital Video Advertising และ Influencer Marketing มากที่สุด

ส่วนช่องทางอย่าง Search Advertising, Digital Audio Advertising และ Digital Out of Home และ SEO นั้น เป็นช่องทางที่แบรนด์วางแผนจะลดงบประมาณมากที่สุด

ซึ่งเอาจริงๆ ในความเห็นของผม ก็ถือว่าตัวเลขเหล่านี้ก็เป็นตัวเลขที่เข้าใจได้ เพราะด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ผมได้เขียนถึงไป (เศรษฐกิจถดถอย การเมือง และสงคราม) แบรนด์คงมองหาอะไรที่เป็นระยะสั้น และเป็นกระแสมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การลดก็ไม่ได้หมายความว่าแบรนด์จะไม่ทำอะไรที่เป็นระยะยาวและไม่อยู่ในกระแสเลย

ผมคิดว่าแบรนด์ที่เก่งจะพยายาม Balance ช่องทางต่างๆ และการลงทุนในระยะสั้น/ยาว ให้ดีครับ

ESG in Thailand is Now

ESG เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ซึ่งคำว่า ESG เป็นตัวย่อของ

  • Environment หรือสิ่งแวดล้อม
  • Social หรือสังคม
  • (Corporate) Governance หรือธรรมภิบาลขององค์กร

ผมได้มีโอกาสไปเรียนหลักสูตรของตลาดหลักทรัพย์ที่ชื่อว่า IDE to IPO (Innovation Driven Enterprise to Initial Public Offering) มา และทำให้เห็นภาพเรื่องนี้มากขึ้น รวมไปถึงเข้าใจมากขึ้นว่าบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นให้ความสำคัญและตื่นตัวกับเรื่องนี้มากแค่ไหนในปีที่ผ่านมา เนื่องจากว่าเรื่อง ESG นั้นเป็นอีกหนึ่งในกระแสหลักของโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังธุรกิจเล็กใหญ่อื่นๆ ด้วย

นอกจากในมุมธุรกิจแล้ว คนรุ่นใหม่ๆ เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้นมากๆ เช่นพวกเขาจะอยากซื้อของจาก Sustainable Brand (เช่น Brand ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จ่ายค่าจ้างอย่างเป็นธรรม) มากกว่า Brand ทั่วๆ ไป

Content Shifu เองก็ได้เปิดเว็บไซต์ใหม่ที่ชื่อว่า Scale ที่รวมสาระความรู้ที่ทำให้คนและธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนโดยที่เรื่องเกี่ยวกับ ESG จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่เว็บไซต์นี้เขียนถึงบ่อยๆ ด้วยครับ ไปตามกันได้นะครับ 🙂

2. เทรนด์เกี่ยวกับ Martech

ต้นปี 2023 ทาง Content Shifu ได้ร่วมมือกับ Hummingbirds Consulting ปล่อย Martech Report 2023 (เวอร์ชั่นภาษาไทย และเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็น Martech Report เล่มแรกของไทย ที่ได้จากการ Survey และ Interview ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญในสายงาน Martech กว่า 600 ท่าน

ซึ่งมี Insights หลายอย่างๆ ที่น่าสนใจ และผมคิดว่าเรื่องที่ผมจะเอามาแชร์ต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ยังคงเป็นเทรนด์ต่อไปในปี 2024

ป.ล. ตอนนี้พวกเรากำลังจัดทำ Thailand’s Martech Report 2024 อยู่ คิดว่าน่าจะพร้อมเผยแพร่ช่วง Q1/2024 ครับ รอติดตามผ่านอีเมลหรือ Facebook Page ของ Content Shifu ได้ครับ

จำนวน Martech ที่บริษัทต่างๆ จะใช้

จากรูปจะเห็นได้ว่าในปี 2022 อยู่ที่ 11.37 ตัว และในปี 2023 นั้น ธุรกิจต่างๆ วางแผนที่จะใช้งาน Martech เพิ่มขึ้นมาเป็น 16.7 ตัว ซึ่งเพิ่มขึ้น 30-40% เลย

และผมคิดว่าในปี 2024 ปริมาณ Martech ที่ธุรกิจต่างๆ จะใช้นั้นจะยิ่งเพิ่มไปมากกว่านี้อีกครับ

เพราะฉะนั้น ยิ่งจำนวน Martech ที่จะใช้มีจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ การเชื่อมต่อ (Integration) ของ Martech ต่างๆ นั้นจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น

รวมไปถึงเรื่องการทำ Training และ On-boarding ให้กับทีมงานเพื่อให้สามารถใช้งาน Martech ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วยครับ

Martech มหานิยม

รูปทางด้านบนจาก Chiefmartec เป็นรูป Martech ประเภทต่างๆ ที่แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ย่อยอีกมากมาย จนผมต้องพูดแบบติดตลกทุกคร้ังที่มีโอกาสไปแชร์เรื่อง Martech ว่า “จักรวาล Marvel ว่ากว้างแล้ว จักรวาล Martech กว้างกว่ามาก”

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน Martech Provider นั้นมีให้เลือกเพียงแค่หลักร้อยตัว แต่ข้อมูลในปัจจุบันจาก Statista ได้บอกไว้ว่ามี Martech Provider เกือบๆ 10,000 ราย (ซึ่งในความคิดเห็นของผม ถ้านับรวมรายที่ไม่ได้ถูก Track ด้วย น่าจะมีเกิน 10,000 รายไปมาก)

และรูปทางด้านบนนี้เป็นรูปจักรวาล Martech Providers ของไทย (ที่มีเจ้าของเป็นคนไทย) (ผมเคยเขียนบทความ Thai Martech Tools: 80+ เครื่องมือมาร์เทคของไทยที่น่าสนใจ ไว้ ถ้าสนใจหา Tools ไปใช้ ลองเข้าไปดูได้ครับ)

จะเห็นได้ว่ามันก็กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนกัน

ซึ่งใน Thailand’s Martech Report 2023 มีการ Survey เกี่ยวกับ Martech ที่ธุรกิจต่างๆ นิยมใช้ ซึ่งผมขอสรุปข้อมูลออกมาเป็นแบบนี้ครับ

Martech ในหมวดหมู่ที่มีกำแพงเรื่องของภาษา (เช่นพวก Social Listening Tools) และหมวดหมู่ที่ต้องมีการเชื่อมต่อกับ Platform เฉพาะทางที่มีแค่ประเทศไทย (หรืออีกไม่กี่ประเทศ) ใช้งานอย่าง LINE (เช่นพวก Chat Commerce หรือ CRM for B2C) Martech ที่ถูกสร้างโดย Martech Providers ของไทยจะเป็นที่นิยมมากกว่า

แต่ถ้าเป็นหมวดหมู่อื่นๆ Global Martech Providers จะเป็นที่นิยมมากกว่า เช่นถ้าพูดถึง CMS (Content Management System) คนก็จะนิยมใช้ WordPress ที่สุด หรือถ้าพูดถึง CRM for B2B คนก็จะนิยมใช้ Salesforce มากที่สุด

Martech Solutions ในไทยจะเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

ในปี 2024 ผมคิดว่าตลาด Martech มีความน่าสนใจมากๆ

จากที่คุยกับ Global Martech Providers หลายๆ เจ้ามา (โดยเฉพาะเจ้าที่มีฐานลูกค้าเป็น Consumer Businesses) พวกเขาจะเข้ามาเปิดตลาด/ให้ความสำคัญกับตลาดไทย (หรืออย่างน้อยๆ ก็ตลาด APAC) มากขึ้น เพราะบ้านเราเริ่มตื่นตัวกับ Martech มากขึ้น

ส่วน Local Martech Providers เองนั้น ต้องบอกว่าพวกเขามีความเฉพาะทางในการพัฒนา Solution ให้เหมาะกับตลาดไทยอยู่แล้ว

แต่อย่างในปี 2023 ที่ผ่านมา มีงาน Martech Integration Day ที่จัดโดยสมาคมเทคโนโลยีการตลาดแห่งประเทศไทย ก็จะเริ่มเห็นพวกเขารวมกลุ่ม (หรือจับตัวกับ Global Martech Providers มากขึ้น)

โดยสรุปคือ Martech Solution นั้นจะมีความ Industry & Niche-Specific มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

เพราะฉะนั้นเวลาแบรนด์จะเลือกซื้อ Martech ผมคิดว่าจะต้องพิจารณาให้ดีและคิดให้รอบ เนื่องจากว่า Solutions จะมีมากมายขึ้นมากๆ

Martech กับการทำ Marketing Transformation

ในความเห็นของผม การจะทำ Marketing หรือ Digital Transformation นั้นประกอบไปด้วย 1. แผนที่ดี 2. คนที่ใช่ และ 3. เทคโนโลยีที่เหมาะสม

ซึ่ง Martech ตกอยู่ในหมวดหมู่ “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” ครับ

การจะทำ Transformation ให้เกิดขึ้นได้สำเร็จนั้น หนึ่งในเรื่องแรกๆ เกี่ยวกับ Martech ที่องค์กรต้องทำให้ได้คือทำให้การส่งต่อข้อมูลไร้รอยต่อมากที่สุด

Solution ที่จะมีความสำคัญมากขึ้นได้แก่ Solution ประเภท Business Automation ซึ่งผมขอแบ่งเป็น 1. One-way push และ 2. Two-way sync

ตัวอย่าง Solution ที่เป็น One-way Push เช่น Zapier ที่ช่วยให้คุณสามารถส่งข้อมูลจาก Martech ตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งได้แบบอัตโนมัติ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเขียน Code เพื่อเชื่อมต่อ เช่น มีคนกรอกฟอร์มผ่านหน้าเว็บไซต์แล้ว ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง CRM ทันที (ถ้าต้อง Export/Import เป็นรายวัน ก็ไม่ทันใช้พอดี)

ตัวอย่าง Solution ที่เป็น Two-way Sync เช่น HubSpot Operations Hub ที่ช่วยให้คุณเชี่อมฐานข้อมูล Martech ต่างๆ เข้าด้วยกันได้ และเหมือนกับ Zapier คือ คุณไม่จำเป็นต้องเขียน Code เช่นมีคนทำการยื่นคำขอแก้ไขอีเมลผ่านเว็บไซต์ อีเมลใหม่ก็จะถูกอัปเดตในที่อื่นๆ ของแบรนด์ด้วย (เช่นในระบบ Financial, ระบบ App, ระบบ CRM และที่อื่นๆ)


Shifu แนะนำ

Thailand’s Martech Report 2024 กำลังจะมา… คิดว่าจะเผยแพร่ในช่วงประมาณ Q1/2024 ถ้าสนใจ แนะนำให้ Sign Up อีเมลติดตามไว้เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูล หรือไปดาวน์โหลดเล่มของปี 2023 ไปศึกษาก่อนได้ครับ

 

3. เทรนด์เกี่ยวกับ AI

สำหรับเทรนด์เรื่องเกี่ยวกับ AI นั้น ผมขออนุญาตสรุปง่ายๆ ใน 3 คำคือ “มา แรง มาก” ในช่วงกลางปี 2023 Content Shifu ได้ร่วมกับ Creative Talk จัดงาน Marketing Insight & Technology Conference 2023 ซึ่งจากสถิติที่ผมเห็น ก็พบว่ามีคนสนใจหัวข้อเกี่ยวกับ Digital Marketing & AI กันล้นหลามมากๆ ครับ

Generative AI คือสิ่งที่นักการตลาดต้องรู้จัก (และใช้งาน)

จริงๆ แล้ว AI อยู่กับโลกของ Digital Marketing มาหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถูกแปลงเป็น Use Case ที่คนทั่วๆ ไปสามารถมี Interaction ด้วยได้

แต่การเกิดขึ้นมาของ Generative AI อย่าง ChatGPT ในช่วงปลายๆ ปี 2022 ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง เพราะ Generative AI เป็น AI ที่ทุกๆ คนสามารถใช้งานเพื่อสร้างสรรค์ชิ้นงานที่เห็นเป็นรูปธรรมออกมาได้

หลักจากที่ ChatGPT ถือกำเนิดขึ้น ก็มี Generative AI ดังๆ ทยอยเปิดตัวมาอีกมากมายเช่น Bard, Midjourney และ Stable Diffusion ซึ่งต้องบอกว่าเครื่องมือเหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของจักรวาล Generative AI เท่านั้นเอง

อ่านเพิ่มเติม: Generative AI คืออะไร? รู้จักกับ Generative AI ทั้ง 7 หมวดหมู่

จากรูปทางด้านบนของ Sequoia Capital จะเห็นได้ว่ามีเครื่องมือ Generative AI หลายตัวมากๆ และมันจะยิ่งมากขึ้นกว่านี้อีกเรื่อยๆ ในปี 2024

จากที่ผมได้ลองใช้งาน Generative AI หลายๆ ตัวมา ผมคิดว่าในการใช้งานจริง ถ้าต้องการผลิตคอนเทนต์ออกมาเป็นภาษาไทย มันยังไม่สามารถเอาไปใช้งานได้จริงขนาดนั้น คือพอเอาไปใช้ได้แหละ แต่เนื้อหาไม่สละสลวย ประโยคต่างๆ ยังร้อยเรียงเรื่องราวมาได้อย่างไม่เป็นธรรมชาติ สุดท้ายก็ต้องมีคนมา Co-pilot ด้วยระหว่างทางอยู่ดี

ทั้งนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ Generative AI สามารถช่วยได้ดีพอสมควรในการทำ Digital Marketing คือการช่วยค้นคว้าหาข้อมูล และการช่วยวางกลยุทธ์ ที่มันช่วยย่นระยะเวลา และช่วยให้คิดได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

โดยสรุปของในหัวข้อนี้ ในปี 2024 โลกของ AI คงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกมากมายเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมยังเชื่อเสมอเหมือนกับสุภาษิตนี้จากทาง HBR ว่า “AI Won't Replace Humans — But Humans With AI Will Replace Humans Without AI”

สิ่งที่วิ่งไล่ตาม AI ไม่ทัน

ไม่ใช่คน ไม่ใช่เทคโนโลยี…

.

.

.

.

แต่เป็นเรื่องกฏหมาย จริยธรรม และกฏระเบียบปฏิบัติ ที่มีความคลุมเครือและเทาๆ อยู่ว่างานที่ถูกสร้างสรรค์โดย AI ผิดหรือไม่

ในปีที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายเช่นที่ Samsung แบนการใช้งาน ChatGPT และ Generative AI ตัวอื่นๆ เพราะกลัวว่าข้อมูลจะรั่วไหล

หรือการที่อิตาลีแบนการใช้งาน ChatGPT เพราะกังวลเรื่อง Privacy (ถึงแม้ว่าตอนหลังพวกเขาจะปลดแบนก็ตาม)

นอกจาก ChatGPT หรือ Bard ที่เป็น Text based แล้ว เรื่องลิขสิทธิ์ต่างๆ ของรูปที่สร้างโดย AI Image Generator เช่น Midjourney หรือ Stable Diffusion ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันค่อนข้างมากๆ (เพราะผู้ใช้งานไม่รู้ว่ารูปต่างๆ ที่เอามาเทรนด์ Model นั้น ถูกหรือไม่ถูกลิขสิทธิ์)

รูปจาก ShutterStock AI
รูปจาก ShutterStock AI

ในขณะที่บริษัท Stock Images ชื่อดังอย่าง ShutterStock และ Getty Images ก็ได้สร้าง AI Image Generator ที่ให้ความคุ้มครองทางกฏหมายแก่ผู้ใช้งาน (ถ้ามีเรื่องฟ้องร้อง บริษัทเหล่านี้คุ้มครองให้) สาเหตุที่ทำแบบนี้ได้ก็เพราะว่าพวกเขาเอารูปจาก Creator บน Platform มาเทรนด์ AI และเมื่อรูปถูกดาวน์โหลดไปใช้ (ถูกซื้อ) Creator ก็จะได้ส่วนแบ่งตามไปด้วย

AI Solutions กับแวดวงธุรกิจ

นอกจากที่ AI จะถูกใช้อย่างแพร่หลายทั่วไปแล้ว ในวงการธุรกิจเองก็มีการเอา AI มาใช้ยกระดับการทำงานเช่นกัน

ตัวอย่างเช่นการที่ Salesforce มี AI ที่ชื่อว่า Einstein ที่ช่วยให้การทำ CRM และการขายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการทำ Predictive Opportunity Scoring ทำให้แบรนด์รู้ว่า Deal ไหนมีโอกาสปิดการขายได้มากกว่ากัน (โดยที่ AI จะให้คะแนนอิงกับหลายๆ เรื่องเช่น Profile Stakeholders ของดีล ปฏิสัมพันธ์ที่มีในช่วงที่ผ่านมา เป็นต้น) ทีมขายจะได้โฟกัสไปที่ดีลนั้นๆ

หรือการที่ HubSpot เปิดตัว ChatSpot ที่เป็นเหมือน ChatGPT สำหรับ Marketing & Sales ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถหาข้อมูลและหา Insights จากใน CRM ของตัวเองได้ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที รูปทางด้านบนเป็นตัวอย่างผลลัพธ์จากที่ผมขอให้ ChatSpot ค้นหาบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่า 100 คนใน Database ของ Content Shifu

นอกจากนั้นแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ OpenAI อย่าง Microsoft เองก็มีแผนที่จะเอาความสามารถของ OpenAI เข้าไปเสริมทัพใน Business Products ต่างๆ ของพวกเขา (เช่น Dynamics หรือ Azure) โดยที่ทุกธุรกิจที่ใช้งาน Microsoft จะสามารถใช้งาน ChatGPT ได้โดยไม่ต้องกลัวเรื่อง Privacy

และข้อมูลต่างๆ ที่ธุรกิจ Input เข้าไป จะถูกเอาไป Train ต่อเพื่อให้เหมาะกับบริบทของธุรกิจนั้นๆ มากขึ้น โดยที่ข้อมูลต่างๆ จะไม่ถูกเอาไปแชร์กับตัว ChatGPT เวอร์ชั่นที่ใช้งานได้อย่างสาธารณะ

4. เทรนด์เกี่ยวกับ Digital Ads

ข้อมูลตรงส่วนนี้เป็นข้อมูลที่ผมได้มาจาก Thailand Digital Advertising Spend 2023 จากทาง DAAT นะครับ ผมต้องขอบคุณทางสมาคมสำหรับข้อมูลส่วนนี้ด้วยครับ

Digital Spending ของประเทศไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถิติจาก DAAT (ในตอนที่ประกาศสถิตินี้คือช่วงตุลาคม 2023) ได้คาดการณ์ไว้ว่า Digital Spending ในปี 2023 ประเทศไทยจะขึ้นไปแตะ เกือบๆ 29 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

จากรูปทางด้านบน ผมพอจะสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น Digital Spending ก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตอนนี้ทั้งอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในช่วงที่เติบโต

หมวดหมู่ที่มีการเติบโตในการซื้อโฆษณาเยอะที่สุด

หมวดหมู่ที่มีการซื้อโฆษณาเยอะที่สุดตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ Skin-care Preparations, Motor Vehicles, Non-Alcoholic Beverages โดยที่ในปี 2023 หมวดหมู่ Skin-care Preparations เป็นหมวดหมู่ที่มีการซื้อโฆษณามากเป็นอันดับ 1

สำหรับอุตสาหกรรมที่คาดการณ์ว่าจะมียอดการใช้จ่ายที่เติบโตสูงที่สุดในปี 2023 คือ Cosmetics, Retail Shops/Stores และ Skin-care Preparation

ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลของปี 2023 แต่ผมคิดว่าสามารถใช้อ้างอิงสำหรับปี 2024 ได้เช่นเดียวกัน

จักรวาล Digital Ads ที่ไม่ได้มีแค่ Social & Search

รูปทางด้านบนเป็นรูปของ Media Spending ตามแพลตฟอร์มต่างๆ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ โลกของ Digital Ads มันไม่ได้เป็นสงครามระหว่างยักษ์ใหญ่แค่ 2-3 รายอีกต่อไปแล้ว แต่มันมีทางเลือกอื่นๆ ให้เลือกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจาก Social Media Platform อื่นๆ (เช่น TikTok, LINE และ Twitter (X)) หรือ eCommerce Platform (เช่น Shopee และ Lazada) รวมไปถึง Ads ตาม Superapps ต่างๆ (เช่น LINEMAN Wongnai, Robinhood & Grab)

เพราะฉะนั้นธุรกิจเองก็ต้องพยายามทำความเข้าใจและเข้าไปทดลองใช้ Digital Ads Platform ตัวอื่นๆ หรือลองกระจายความเสี่ยง เพื่อทำให้ได้รับผลลัพธ์จากการลงทุนซื้อโฆษณากลับมามากที่สุด

Shifu แนะนำ

ถ้าคุณสนใจเกี่ยวกับเรื่อง Digital Advertising เพิ่มเติม สามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่ครับ

5. เทรนด์เกี่ยวกับ Data

ยุคแห่งความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

ในปีที่แล้ว ผมก็เขียนเรื่องนี้ ปีนี้ก็จะเขียนอีก เพราะมันยังคงสำคัญ และจะยิ่งเข้มข้นขึ้นอีก

กลางปี 2022 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act หรือที่รู้จักกันในชื่อ PDPA) นอกจากนั้นแล้วเทรนด์ของโลกเองก็มุ่งมาสู่ทางนี้เช่นเดียวกัน ดังที่จะเห็นได้จาก Research ของ Gartner ที่บอกว่า ภายในปี 2023 ข้อมูลส่วนตัวของคน 65% ของคนบนโลกใบนี้จะถูกกำกับภายใต้กฏเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่ทันกับสมัย ทันกับสถานการณ์

ซึ่งเรื่องนี้ ส่งผลโดยตรงกับธุรกิจในเรื่องการเอาข้อมูลของลูกค้ามาใช้

ที่ส่งผลกระทบที่สุดก็คงจะเป็นการใช้งาน Third Party Data เช่นข้อมูล Facebook Pixels ที่จะมีความแม่นยำน้อยลง (เพราะ Facebook เองก็เก็บและแชร์ Data ได้น้อยลง)

นอกจากนั้นแล้ว ในปี 2024 ยังเป็นปีที่ Google Chrome (Browser ที่คนไทยใช้งานมากที่สุด) จะ Go Cookieless ภายในปี 2024 ความหมายคือการ Tracking ข้อมูลต่างๆ บน Google Chrome จะมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นมาก และจะทำให้ข้อมูล Third Party Data เช่นข้อมูล Facebook Pixels มีความแม่นยำน้อยลง

The World of Cookieless is going to be less delicious for marketers (โลกที่ไม่มีคุกกี้จะอร่อยน้อยลงสำหรับนักการตลาด)

Quote โดยผมเอง 😂

CRM จะยิ่งทวีความสำคัญ

เพราะโลกปีหน้า คุกกี้จะยิ่งเหลือน้อยลง การเก็บ First-Party Data (เช่นข้อมูลอีเมล หรือเบอร์โทร) (อ่านเพิ่มเติม: เก็บก่อน รอดก่อน! 10 ไอเดียในการเก็บ First-party Data จากลูกค้า) และ Zero-Party Data (เช่น User Preferences) จะยิ่งมีความสำคัญ เพื่อที่ว่าธุรกิจของคุณจะได้เป็นเจ้าของช่องทางการติดต่อ และสามารถเข้าใจลูกค้าได้ด้วยตัวเอง

การวางแผนและการใช้ระบบ CRM จึงจะเป็นเรื่องที่ยิ่งมีความสำคัญ (ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ CRM ไว้ อ่านได้ที่ CRM คืออะไร? รู้จักกับระบบ CRM ทั้ง 4 ประเภท)

จริงๆ แล้วคำศัพท์อีกคำที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ เลยมีคนมาปรึกษา (ทั้งแบรนด์และทั้ง Martech Providers) เลยคือคำว่า “CDP” ซึ่งส่วนตัวของผม ผมคิดว่าบริษัทที่ต้องใช้ CDP จริงๆ นั้นมีจำนวนไม่มาก (คือต้องเป็นบริษัทที่มีฐานลูกค้าเยอะ และมี Touchpoints กับลูกค้าหลากหลายช่องทาง) และการจะ Implement ให้ใช้งานได้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า CDP ก็เป็นคำที่น่าสนใจ แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นกระแสขนาดที่ว่าหลายๆ บริษัทต้องมาใช้ครับ

บางครั้งการใช้แค่ CRM หรือใช้ Marketing Automation ที่มีระบบให้เก็บ Database ก็อาจจะเพียงพอแล้ว


Shifu แนะนำ

ดาวน์โหลด eBook Marketing Automation เพื่อศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ GA

Google Analytics (Universal Analytics) ที่นักการตลาดแสนจะคุ้นหน้าค่าตามานานได้ถูกยกเลิกและถูกแทนที่ด้วย Google Analytics 4 (GA4) ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม 2023

ซึ่งตัว GA4 กับ GA เวอร์ชันก่อนนั้นมีวิธีการประมวลผลของข้อมูลแตกต่างกัน รวมไปถึงหน้าตาการใช้งาน (User Interface) ก็ต่างกันด้วย

การเรียนรู้ GA4 ซึ่งเป็นระบบ Analytics ตัวใหม่ของ Google อาจจะมี Learning Curve ที่สูงเหมือนตอนที่คุณเริ่มต้นศึกษา Google Analytics ใหม่ๆ แต่ถ้าเว็บไซต์คือส่วนสำคัญในการทำการตลาดของคุณ GA4 ก็เหมือนกับ Thanos ในหนังของ Marvel ที่เป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะช้าเร็วยังไงก็ต้องศึกษาครับ

อ่านเพิ่มเติม: Google Analytics คืออะไร? พาอ่านเมนูต่างๆ ใน GA4 ตัวใหม่ที่ต้องรู้

6. เทรนด์เกี่ยวกับ Content Marketing

ปัจจัยที่ทำให้การทำ Content Marketing ประสบความสำเร็จ

Semrush แพลตฟอร์มที่ช่วยทำ Content Marketing ได้ทำการ Survey นักการตลาดทั่วโลกกว่า 1,700 คน ในปี 2023 และได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจออกมาหลายอย่าง

ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นของตลาดไทย แต่ผมคิดว่าตัวเลขหลายๆ อย่างน่าสนใจ และเอามาอ้างอิงได้ครับ

สิ่งที่ทำให้การทำ Content Marketing ของนักการตลาดประสบความสำเร็จมีหลายปัจจัย แต่ปัจจุยัที่สำคัญที่สุดคือ 1. การค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ติดตาม (Researching Our Audience) 2. การทำ SEO (Search Engine Optimization) และการเผยแพร่คอนเทนต์มกาขึ้นและบ่อยขึ้น (Publishing More Content, Increasing Posting Frequency)

และปัจจัยที่นักการตลาดใช้วัดผลว่าการทำ Content นั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็มีหลายอย่าง แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ Social Media Engagement, Organic Traffic และ Email Marketing Engagement

เพิ่มเติมข้อมูลจาก B2B Content Marketing Benchmarks, Budgets, and Trends: Outlook for 2024 ที่ทำโดย Content Marketing Institute ได้บอกไว้ว่า สำหรับธุรกิจสาย B2B โดยเฉพาะ ตัว Metrics ชี้วัดก็จะมีความแตกต่างไป โดยที่ 3 ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือ Conversion, Email Engagement และ Website Traffic

ผมคิดว่า Option ต่างๆ ทางด้านบนน่าสนใจมากเลยนะ คุณสามารถเอาข้อมูลต่างๆ ทางด้านบนนี้ไปทดลองทำ ทดลองวางแผนการทำ Content Marketing ต่อได้เลย

ประเภทของคอนเทนต์ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

จาก Report ชุดเดิมของ Semrush บอกไว้ว่าประเภทของคอนเทนต์ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือ Video, Short-form Articles และ Success Stories

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ จักรวาลประเภทของคอนเทนต์มันกว้างใหญ่อยู่เหมือนกัน คุณไม่จำเป็นต้องทำแต่คอนเทนต์ที่ทำง่ายๆ ทุกคนสามารถทำได้ ถ้าอยากสร้างความแตกต่าง การสร้างคอนเทนต์ที่พิเศษมากๆ สามารถช่วยได้ครับ(ตัวอย่างเช่น Thailand’s Martech Report ที่ Content Shifu กับ Hummingbirds Consulting สร้างร่วมกัน)

ทั้งนี้ คอนเทนต์แต่ละแบบก็อาจจะเหมาะกับธุรกิจที่แตกต่างกัน และขั้นตอนในการซื้อที่แตกต่างกัน ผมแนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Content Matrix ได้ที่บทความนี้ครับ

รู้จักกับ Search Generative Experience (SGE)

Search Generative Experience เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของ Google ที่ใช้ AI (คิดว่าน่าจะเป็น Bard) มาช่วยเขียนคอนเทนต์เพื่อหาคำตอบตาม Keyword ที่คนค้นหา

ตัวอย่างทางด้านบน ผมเอามาจากเว็บไซต์ Search Engine Land ที่พอคนค้นหาคำว่า “Bluetooth Speaker for a Pool Party” ทาง Google เองก็ใช้ Generative AI เขียนคำตอบขึ้นมาให้

ตอนนี้ตัว SGE ยังไม่ถูกนำมาใช้ในประเทศไทย แต่ผมคิดว่ายังไงก็มาแน่ๆ เพราะ Generative AI คือเทรนด์สำคัญของโลก

Content Marketing Institute ได้บอกวิธีการทำ Search Generative Experience Optimization (ถ้าอนาคตมีชื่อเรียกสั้นๆ ผมว่ามันน่าจะชื่อ SGEO แล้วอ่านว่า เซอ-จิ-โอ นะ 😂) ไว้ว่า

  1. Optimize รูปและวิดีโอให้ดี (พวกคำอธิบาย, ชื่อภาพ หรือ Alt Text ว่าง่ายๆ ก็คือทำ SEO ให้ดีนั่นแหละ)
  2. วางโครงสร้างของบทความที่เขียนให้ดี เช่นเคาะบรรทัดให้บ่อย (แต่ให้เนื้อหาครบถ้วนกระบวนความ) และใช้ภาษาให้เหมือนภาษาคน เวลา Google มาดึงข้อมูลไป จะได้เพิ่มโอกาสในการดึงเนื้อหาที่คุณเขียนไป
  3. ทำคอนเทนต์บน Google Business Profile (ตัวนี้มีพัฒนาการมาจาก Google Plus และ Google My Business)
  4. ทำคอนเทนต์บน Chat/Chatbot ของ Google Business Profile ให้ดี

ผมคิดว่า SGE คงยังไม่ได้มาแทน Experience ปัจจุบันของ SERPs (Search Engine Result Pages) เร็วๆ นี้ เพราะตัว PPC (Google Ads) ถือเป็นหนึ่งในช่องทางทำเงินหลักของ Google เลย ถ้า SGE มาแทนทั้งหมด อู่ข้าวอู่น้ำของ Google ก็จะหายไป

ผมคิดว่า Google น่าจะหาวิธีการทำให้มันอยู่ร่วมกันได้มากกว่าครับ


Shifu แนะนำ

หากคุณอยากทราบเทคนิคทำการตลาดผ่าน LINE แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านราย ช่วยให้สินค้าคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้อย่างแม่นยำและง่ายดาย ดูข้อมูลเพิ่มที่

คอร์สเรียนออนไลน์ LINE OA Certification ที่ตอบโจทย์ทุกธุรกิจที่อยากสร้างตัวตนชัดเจน 

รู้จัก LINE OA ให้มากขึ้น ลองอ่านบทความเหล่านี้สิ!

 

7. เทรนด์เกี่ยวกับ Social Media

สถานการณ์ Social Media ในระดับ Global

ผมขอยกเอาข้อมูลจาก DataReportal (Global Stats) ที่ออกมาในช่วงตุลาคม 2023 มาเล่าให้ได้อ่านกันนะครับ

Facebook ก็ยังคงเป็น Social Media Platform ที่มีคนใช้งานมากที่สุดอยู่ ตามมาด้วย YouTube, Whatsapp, และ Instgram สำหรับแอปจากฝั่งจีนอย่าง Wechat และ TikTok ก็ตามมาเป็นอันดับ 5 และ 6

แต่เมื่อไปดูถึงเรื่องเวลาที่คนใช้งาน ปรากฏว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีคนใช้งานเป็นระยะเวลานานมากที่สุด

และคนเข้าไปใช้งานแต่ละแพลตฟอร์มด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป เช่นคนชอบไปที่ TikTok เพื่อดูคอนเทนต์ที่สนุกสนาน เข้าไปที่ Facebook เพื่อคุยกับเพื่อนและครอบครัว และเข้าไปที่ Instagram เพื่อแชร์รูปและวิดีโอ

สถานการณ์ Social Media ในประเทศไทย

ทีนี้มา Zoom In ลงมาที่ประเทศไทยกันบ้าง ด้วย Report ของ DataReportal เจ้าเดิม แต่โฟกัสเฉพาะของประเทศไทย (Report เล่มนี้ออกมาในเดือนมกราคม 2023)

Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่เป็น “ที่รัก” ของคนไทยมากที่สุด จากนั้นตามมาด้วย TikTok, LINE และ Instagram

ซึ่งต่างกับของต่างประเทศที่ Whatsapp, Instagram และ Wechat นั้นเป็นที่รักมากที่สุด

ความเห็นอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Social Media ในไทย

ถึงแม้ว่า Facebook จะยังเป็นแพลตฟอร์มที่คนใช้งานและชอบมากที่สุด แต่ในเชิงธุรกิจแล้ว ก็ถือว่าค่อนข้างท้าทายเลย เพราะปริมาณ Engagement ในปัจจุบันถือว่าต่ำมากๆ (0.02-0.03% หรือคิดง่ายๆ ว่า ถ้ามีคนเห็นคอนเทนต์ของคุณ 10,000 คน จะมีคนไลก์ คอมเมนต์ หรือแชร์ 2-3 คนเท่านั้น) และผมคิดว่าเรื่อง Reach เองก็คงต่ำไม่แพ้กัน สาเหตุหลักก็เป็นเพราะธุรกิจแทบจะทุกธุรกิจ ครีเอเตอร์ทั่วบ้านทั่วเมือง นั้นใช้งาน Facebook ทั้งนั้น แต่ Facebook เองก็ถือแอปอื่นที่มาแรง แย่งเวลาของผู้ใช้งานไป

แอปที่มาแรงที่ว่าในที่นี้คือ TikTok ซึ่งส่วนตัว จากที่ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเรื่อง TikTok หลายๆ ท่าน และจากการสังเกตส่วนตัว ผมคิดว่า Honeymoon Period ในปี 2024 ก็น่าจะจบลง (คำว่า Honeymoon Period คือช่วงที่ Reach/Engagement กระจาย) สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าแบรนด์ต่างๆ เข้ามาทำการตลาดบน TikTok มากขึ้น ทุ่มเม็ดเงินลงมามากขึ้น ซึ่งผมคิดว่าก็เป็นไปตามหลัก Demand/Supply เลย คือ TikTok มีอำนาจในการต่อรองกับทุกๆ ฝ่ายมากขึ้น

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า Honeymoon Period จะจบลง ก็ไม่ได้หมายความว่าความรักจะจบตาม 😂 ผมคิดว่า TikTok ก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโต และมีโอกาสมากมายอยู่ในนั้นครับ

มีข้อมูลอีกชุดหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากๆ คือ Platform ที่ส่งคนไปยังเว็บไซต์ที่เติบโตมากที่สุดคือ Twitter (X) คือถ้าเทียบกับระดับ Global แล้ว ของ Global จะเป็น Facebook

ตัว Twitter (X) เองนั้นค่อนข้างมีความเฉพาะกลุ่มและเฉพาะทาง แต่ถ้าแบรนด์หรือธุรกิจไหน Crack มันออกได้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นตัวช่วยในการเพิ่มยอดขายหรือยอดคนเข้าชมเว็บไซต์ได้ดีครับ

Affiliate Marketing จะยังคงเติบโตขึ้น

ปี 2023 การทำ Affiliate Marketing เติบโตขึ้นมา และในปี 2024 ผมคิดว่ามันจะยิ่งเติบโตขึ้นอีก

สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะประเทศเรามี Content Creator มากขึ้น ทุกๆ คนสามารถเป็น Creator ได้ (ผมไปร่วมงาน iCreator Conference 2023 มา ซึ่งหนึ่งในเรื่องสำคัญที่พวกเขาพูดกันคือ พวกเขาอยากจะผลักดันให้ Creator กลายเป็นอาชีพ)

ซึ่งหนึ่งในวิธีการหาเงินสำหรับ Creator ที่แทบจะไม่มีเพดานเลยคือ Affilate Marketing นี่แหละครับ ยิ่งช่วยแบรนด์ขายของได้มากเท่าไหร่ ยิ่งได้ค่า Commission มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าเราน่าจะเห็น Social Media Platform อย่าง TikTok และ LINE หันมาเอาจริงเอาจังเรื่องนี้มากขึ้น (พวก eCommerce Platform อย่าง Shopee และ Lazada ก็โฟกัสเรื่องนี้เหมือนกัน)

Social & Live Commerce ก็ยังจะคงร้อนแรง

ในปี 2024 การไลฟ์สด ให้คนกด CF ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ถูกจริตกับคนไทยอยู่ ดูสนุกๆ เพลินๆ รู้ตัวอีกทีของก็มาส่งถึงหน้าบ้านแล้ว

มีกรณีศึกษาเกี่ยบกับการไลฟ์สดขายของอยู่มากมาย ตัวอย่างที่น่าจะเป็นกระแสที่สุดอันนึงในปี 2023 ที่ผ่านมาคือการที่พี่ตี๋โอ มือไลฟ์ TikTok ขายของได้ 22 ล้านบาทในไลฟ์เดียว

ซึ่งผมคิดว่าในปี 2024 น่าจะมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจหลายอันจากหลายคนมาให้เห็นอีกแน่ๆ

และนอกจากการไลฟ์ผ่าน Social Media Platform แล้ว eCommerce Marketplace อย่าง Shopee & Lazada ก็คงจะไม่น้อยหน้า พยายามดัน Live Streaming Solutions มาแข่งด้วยแน่ๆ ครับ

สรุป: เทรนด์การตลาดออนไลน์ปี 2024

และนี่คือการวิเคราะห์เทรนด์การทำการตลาดออนไลน์ทั้ง 7 เรื่องนะครับ

หมวดหมู่เหล่านี้ (Digital Strategy, Martech, AI, Digital Advertising, Data, Content Marketing และ Social Media) เป็นหมวดหมู่สำคัญที่ทุกคนควรจะต้องรู้เพื่อที่จะทำการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว เรื่องต่างๆ ที่ผมเขียนแชร์เกี่ยวกับเทรนด์ของปี 2024 เป็นสิ่งที่คุณควรรู้ไว้และปรับตัวตาม แต่อย่าลืมทำเรื่องพื้นฐานต่างๆ ให้ดีด้วยนะครับ

สุดท้าย หวังว่าบทความเทรนด์การตลอดออนไลน์ 2024 นี้จะเป็นประโยชน์ และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การทำการตลาดออนไลน์ของคุณในปีหน้าสำเร็จตามที่คุณตั้งเป้าไว้นะครับ

ตาคุณแล้ว

คุณมีอะไรที่อยากแนะนำผมและผู้อ่านคนอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทรนด์การตลาดออนไลน์สำหรับปี 2024 บ้างไหมครับ?

มาคุยกันต่อได้ในคอมเมนต์เลยครับ!