ปัจจุบันเทคโนโลยี Generative AI ได้พลิกโฉมรูปแบบการทำงานและการหาข้อมูล AI ทำให้ผู้คนประหยัดเวลาทำงานได้อย่างมหาศาล ช่วยหาข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณการใช้งาน Generative AI เพิ่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการใช้งานมากขึ้น กลยุทธ์การตลาดแบบใหม่ที่กำลังมาแรงแบบสุดๆ นั่นคือ Generative Engine Optimization (GEO)
บทความนี้ ผมจะขอแชร์ข้อมูลแบบเจาะลึกว่า Generative Engine Optimization (GEO) คืออะไร ทำไมจึงเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ต้องจับตามอง และวิธีการทำ GEO จากประสบการณ์จริง ซึ่งผมเชื่อว่าเมื่อคุณอ่านจนจบ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้จนบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอนครับ
Generative Engine Optimization (GEO) คืออะไร
Generative Engine Optimization (GEO) คือ การวางแผนสร้างเนื้อหาดิจิทัล (Website, YouTube, Facebook Page และอื่นๆ ) เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธุรกิจคุณจะยืนเด่นในคำตอบของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Claud.ai และอื่นๆ
ในภาคปฏิบัติ การทำ GEO เริ่มจากการระบุว่า ธุรกิจของคุณคือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใด จากนั้นสร้างเนื้อหาอันเจาะลึก เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับอัลกอริทึมของปัญญาประดิษฐ์ ส่งผลให้โอกาสที่เนื้อหาหรือชื่อธุรกิจคุณจะอยุ่ในคำตอบของ Generative AI มีมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น Content Shifu ต้องการสร้างความรับรู้ว่า คือเว็บไซต์รวมความรู้เรื่อง Digital Marketing, MarTech ซึ่งการทำ GEO ส่งผลให้ Content Shifu ปรากฏในคำตอบของ AI ที่เกี่ยวข้องกับ “Digital Marketing, Mar Tech” อันจะส่งผลดีต่อ Brand awareness เป็นอย่างมาก
Generative Engine Optimization สำคัญอย่างไร
การเกิดขึ้น ขยายความนิยมอย่างรวดเร็วของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Perplexity และ Google AI Overviews ทำให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่ในบริโภคข้อมูล ในปัจจุบัน คนเริ่มใช้ AI Search เพื่อหารายชื่อธุรกิจ เสื้อผ้า รองเท้า ร้านอาหาร คาเฟ่ และอื่นๆ
มีสถิตหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายว่า ปริมาณผู้ใช้งาน Generative AI เพิ่มอย่างก้าวกระโดดและดุดัน ดังนี้
- การใช้งาน ChatGPT เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 135.8% (YoY) ในสหรัฐอเมริกา และ 96% (YoY) ทั่วโลก (source)
- Google Gemini ปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มขึ้นเกือบ 150% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในเดือนมิถุนายน (source)
สถิตินี้ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมคนเริ่มเปลี่ยนแปลง คนจำนวนมากใช้ AI Search เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ ในฐานะนักการตลาดดิจิทัล การเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการทำให้ ชื่อสินค้า ชื่อธุรกิจ Personal Branding ถูกมองเห็นบน Generative AI จะสร้างความรับรู้ ความเชื่อมั่น นำมาซึ่งโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจของคุณ
GEO vs SEO แตกต่างกันอย่างไร
SEO (Search Engine Optimization) คือ กลยุทธ์การตลาดซึ่งทำให้เว็บไซต์ปรากฏในลำดับต้นๆ ของ Search Engine โดย SEO กับ GEO มีความแตกต่างในบางประเด็น นักการตลาดต้องเข้าใจความต่างดังกล่าว เพื่อสามารถเลือกกลยุทธ์ที่ถูกต้องและสอดคล้องกับเป้าหมาย ซึ่งความแตกต่างหลักมีดังนี้
เป้าหมาย
SEO: เป้าหมายคือ สร้างเนื้อหาเพื่อให้ปรากฏในลำดับต้นๆของ Search Engine (Google, Bing, Yahoo และอื่นๆ)
GEO: เป้าหมายคือ ทำให้ชื่อธุรกิจ สินค้า บทความของคุณ ปรากฏในคำตอบของ Generative AI โดยเน้นทำโครงสร้างเนื้อหาที่เจาะลึก ครอบคลุม และสอดคล้องกับการทำงานของ AI
การสร้างเนื้อหา
SEO: เน้นสร้างเนื้อหาที่ให้ความสำคัญกับ “คีย์เวิร์ด” โดยการใส่คีย์เวิรด์ใน Meta Tag, Heading Tag, Text in content และอื่นๆ
GEO: เน้นสร้างเนื้อหาที่ “ตอบสนองความต้องการที่แท้จริง” ด้วยการวิเคราะห์ว่า ความต้องการของผู้คนหาคืออะไร แล้วนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างเจาะลึกและครอบคลุม
ตัวอย่างเช่น คุณจะสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับเรื่อง “การวางแผนการเงิน” หากเป็นการทำ SEO แบบดั้งเดิม คุณอาจเน้นสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวกับคีย์เวิร์ด” วางแผนการเงินคืออะไร, วิธีการวางแผนการเงิน, ข้อดี – อุปสรรค การวางแผนการเงิน”
แต่หากเป็น GEO สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมคือ การสร้างเนื้อหาของหัวข้อที่เกี่ยวข้อง เช่น “ความเสี่ยงในการลงทุน, ผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจ ต่อการวางแผนทางการเงิน, สินทรัพย์เพื่อการลงทุนมีอะไรบ้าง และอื่นๆ” เนื่องจาก การเพิ่มความหลากหลายของเนื้อหา จะช่วยเพิ่มโอกาสให้บทความของคุณปรากฏใน Generative AI
การวัดผล
SEO: วัดผลลัพธ์ด้วยค่า Ranking in SERPs, Impression, Organic Traffic
GEO: วัดผลลัพธ์ด้วยปริมาณการปรากฏในคำตอบของ Generative AI
Generative Engine Optimization ต้องทำอะไรบ้าง
ต่อไป ผมขอแชร์เทคนิคการทำ Generative Engine Optimization ซึ่งทีมงาน Content shifu นำมาใช้ จนส่งผลให้ชื่อเว็บ Content Shifu ปรากฏในคำตอบ AI มีรายละเอียดดังนี้
Topical Authority
Topical authority คือการสร้างเนื้อหาที่แสดงให้เห็นว่า เว็บไซต์คุณมีความเชี่ยวชาญ รู้จริงในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ส่งผลให้เว็บคุณกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพิ่มโอกาสที่บทความจะพุ่งทะยานขึ้นไปติดอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา
โดยการสร้าง Topical Authority นั้น เริ่มจาก
- กำหนดหัวข้อหลักที่ต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญ
- ค้นหาคีย์เวิร์ดและหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
- สร้างเนื้อหาที่เจาะลึกและนำไปใช้ได้จริง
ตัวอย่างเช่น Content Shifu ต้องการเป็นเว็บที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการ สอน SEO (Search Engine Optimization) จึงสร้างบทความแบบเจาะลึก ในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก คือ ปัจจัยสำคัญซึ่งส่งผลต่อเรื่อง SEO อย่างมาก จากตัวอย่าง ยิ่งคุณสร้างเนื้อหาของหัวข้อที่เกี่ยวข้องมากเท่าไหร่ โอกาสที่หัวข้อหลัก (Search Engine Optimization) จะติดหน้าแรก ยิ่งมากเท่านั้น
คำถามคือ Topical Authority เกี่ยวข้องอย่างไรกับ GEO
คำตอบคือ จากการค้นคว้าอย่างละเอียด ทดลอง สังเกต ผมและนักการตลาดจากต่างประเทศสันนิษฐานตรงกันว่า AI จะฟันธงว่า เว็บไซต์เชี่ยวชาญหัวข้อใดนั้น หนึ่งในปัจจัยที่นำมาพิจารณาคือ ดูจากเนื้อหาที่ปรากฏใน Search Engine
ตัวอย่างเช่น Content Shifu คือเว็บไซต์ที่เนื้อหาเกี่ยวกับ Search Engine Optimization ปรากฏในอันดับต้นๆ ของ Search Engine หลายบทความ จึงมีโอกาสสูงที่ AI จะรับรู้ว่า Content Shifu คือ จอมยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อดังกล่าว
ดังนั้น Topical Authority คือสิ่งที่ส่งผลดีต่อทั้ง SEO & GEO เพราะ เมื่อเนื้อหาของเว็บติดอันดับต้นๆ ของหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง AI จะนำเนื้อหามาวิเคราะห์และรับรู้ว่า เว็บคุณคือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ นั่นเอง
Multichannel Marketing
Multichannel Marketing คือ การสื่อสารการตลาดในหลากหลาย Digital Platform โดย Content Shifu นำเสนอข้อมูลไปยังกลุ่มเป้าหมายด้วยแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น
- Website (https://contentshifu.com)
- Facebook Page (https://www.facebook.com/contentshifu)
- YouTube (https://www.youtube.com/@ContentShifu)
- Linkedin.comhttps://th.linkedin.com/company/content-shifu
- TikTok
เมื่อ AI วิเคราะห์ว่า เว็บไหนเกี่ยวข้องกับหัวข้ออะไร AI จะรวมรวบ Data Type หลายชนิด (Text, Image, Video, Voice) จาก Digital Platform ต่างๆ (Website, Facebook, YouTube และอื่นๆ) มาวิเคราะห์และหารูปแบบ
โดยหลักการวิเคราะห์ที่สำคัญ มี 2 อย่าง คือ
- เมื่อ AI พบเจอหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งซ้ำๆ ก็จะอนุมานว่า เว็บนี้เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้น
- AI ให้ความสำคัญข้อมูลที่มีประโยชน์และน่าเชื่อถือ ยิ่งเว็บคุณมีสิ่งบ่งชี้ว่า มีความน่าเชื่อถือในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมากเท่าไหร่ โอกาสปรากฏในคำตอบของ AI ยิ่งมากเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อ Content Shifu นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ Digital Marketing ใน Digital Platform ต่างๆ รวมถึงมีผู้ชมเขียนรีวิวที่แสดงว่าข้อมูลเป็นประโยชน์และใช้ได้จริง
องค์ประกอบเหล่านี้ จึงเพิ่มโอกาสที่ AI จะนำบทความ หรือ ชื่อเว็บไซต์ของ Content Shifu ไปอยู่ในคำตอบที่เกี่ยวข้องกับคำว่า Digital Marketing
ติดตั้ง Schema Markup
Schema markup คือ Computer Code ที่ใส่ในเว็บเพจ Schema markup เป็นสิ่งที่ทำให้ Search Engine หรือ Generative AI เข้าใจว่า เนื้อหาเว็บเพจเกี่ยวข้องกับสิ่งใด มีรายละเอียดอะไรบ้าง
แล้ว Schema Markup ส่งผลดีต่อการทำ GEO อย่างไร
คำตอบคือ Schema Markup จะเพิ่มโอกาสให้ชื่อแบรนด์ปรากฏใน AI มากขึ้น อันเนื่องจากหลักการทำงานของ Generative AI คือ AI จะวิเคราะห์คำสั่ง จากนั้นแยกส่วนคำ หารูปแบบ แล้วสร้างคำตอบที่สอดคล้องกับคำสั่ง
ตัวอย่างเช่น หากคุณสั่ง AI ว่า “เขียน 5 ร้านที่ขาย หนังสือ The Lord of the Rings” AI จะค้นหาเว็บหรือร้านค้าที่ขายหนังสือดังกล่าว แล้วเขียนคำตอบแก่ผู้ถาม
ลองจินตนาการว่า คุณ คือ เว็บขายหนังสือ The Lord of the Rings ดังนั้น คุณต้องปรับแต่งเว็บให้ AI เข้าใจว่า ขายหนังสือ The Load of the Rings เพื่อเพิ่มโอกาสปรากฏในคำตอบของ Generative AI
ความท้าทายคือ คำว่า The Lord of the Rings เกี่ยวข้องหลายอย่าง อาจเป็น ภาพยนตร์ The Lord of the Rings, นักแสดง The Lord of the Rings , สถานที่ถ่ายทำ The Lord of the Rings และอื่นๆ
ทำอย่างไรให้ AI กระจ่างแจ้งว่า เว็บคุณ คือ ร้านจำหน่าย หนังสือ The Lord of the Rings ??
Schema Markup คือคำตอบ เนื่องจากทำให้ AI เข้าใจทันทีว่า เว็บไซต์คุณขาย “หนังสือ The Lord of the Rings” นอกจากนั้น ยังเพิ่มข้อมูลเกี่ยวข้องเช่น สต๊อกสินค้า (Available for Sale) , ชนิดปก , ราคา และอื่นๆ ข้อมูลเกี่ยวข้องจะยิ่งสนับสนุนว่า เนื้อหาเว็บไซต์คือ “หนังสือ The Lord of the Rings” เว็บไซต์จึงมีโอกาสปรากฏในคำตอบของ AI มากขึ้น
ทำเว็บให้เข้าเกณฑ์ E-E-A-T
E-E-A-T คือ หลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ โดย E-E-A-T ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authoritativeness และ Trustworthines ซึ่งมีรายละเอียดย่อดังนี้
- Experience (ประสบการณ์) | ผู้สร้างเนื้อหาคือผู้มีประสบการณ์ รู้ลึกรู้จริง ในเรื่องที่นำเสนอ
- Expertise (ผู้เชี่ยวชาญ) | เนื้อหาเว็บไซต์เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ
- Authoritativeness (มีชื่อเสียง) | เว็บไซต์ได้รับการอ้างอิงจากเว็บอื่นๆ
- Trustworthines (น่าเชื่อถือ) | เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ ไม่มีลักษณะว่าเป็น Web Phishing or Scam website
ประโยชน์ของการสร้างเว็บให้เข้าเกณฑ์ E-E-A-T คือ สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ AI โดยผมพบข้อมูลน่าสนใจว่า มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทดลอง 9 กลยุทธ์ GEO ผลลัพธ์คือ 3 กลยุทธ์ซึ่งทำแล้วจะเพิ่มโอกาสปรากฏในคำตอบของ AI เพิ่มขึ้นประมาณ 30-40% มีดังนี้
- Cite sources: เพิ่มการอ้างอิงที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
- Include quotations: เพิ่มคำพูดที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
- Statistics Addition: ปรับเนื้อหาให้รวมสถิติเชิงปริมาณแทนที่การบรรยายโดยไม่มีข้อมูลตัวเลขสนับสนุน
ที่มาข้อมูลข้างต้นดูที่ : Generative Engine Optimization Research
โดย 3 เรื่องข้างต้น คือ หนึ่งในเนื้องานเพื่อให้เว็บไซต์เข้าเกณฑ์ E-E-A-T ดังนั้น E-E-A-T จึงเป็น Website Marketing Strategy ที่ยอดเยี่ยม เพราะเพิ่มโอกาสที่ชื่อเว็บไซต์จะปรากฏในคำตอบ Generative AI นั่นเองครับ
สรุป
Generative Engine Optimization (GEO) คือ วิธีการเพื่อทำให้ชื่อธุรกิจหรือบทความของเว็บ ปรากฏในคำตอบของ Generative AI โดยสาเหตุที่นักการตลาดดิจิทัลควรศึกษาเรื่อง GEO เนื่องจากการใช้งาน Generative AI มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ในอนาคต ดังนั้น หากสินค้า ชื่อธุรกิจ Personal Branding ถูกมองเห็นบน Generative AI จะสร้างความเชื่อมั่น นำมาซึ่งโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจของคุณนั่นเองครับ
บทความนี้ดีมากครับ