ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขายเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการทำให้ธุรกิจเติบโต
ไม่ว่าคุณจะสามารถทำแบรนดิ้งหรือทำการตลาดออกมาได้ดีแค่ไหน ถ้าทีมขายของคุณทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถปิดการขายได้ ธุรกิจของคุณก็จะขาดสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือ “รายได้”
ในบทความนี้ผมจะไม่ได้มาสอนคุณขาย (เพราะผมคิดว่าคุณน่าจะขายเก่งกว่าผมเยอะ) แต่ผมจะมาเขียนถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาช่วยจัดการชีวิตหรือแก้ไขปัญหา เพื่อช่วยให้คุณขายหรือบริหารจัดการทีมขายได้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยที่ทุกสิ่งที่แชร์นั้นผมอ้างอิงจากการทดลองส่วนตัวและประสบการณ์ที่ทำมาจริงๆ
ถ้าคุณอยากที่จะยกระดับการขายของคุณหรือทีมขายของคุณขึ้นไปอีกขั้น ผมคิดว่าบทความนี้ช่วยได้ครับ
ถ้าพร้อมแล้ว มาเป็นเรียนรู้เทคนิคการขายที่ช่วยให้ขายได้ขายดีกันนะครับ
ป.ล. ผมไม่ใช่นักขายมืออาชีพและงานหลักจริง ๆ ของผมก็ไม่ใช่การขาย เพราะฉะนั้นถ้ามีนักขายมือโปรผ่านมาและอยากแนะนำผมและผู้อ่านคนอื่น ๆ เพิ่มเติม ผมจะยินดีมากๆ ครับ 🙂
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
- 8 เทคนิคการขาย ช่วยให้คุณขายได้ขายดีกว่าเดิม
- เทคนิคการขายที่ 1: สร้างความประทับใจแรกให้ดี
- เทคนิคการขายที่ 2: เตรียมของจำเป็นสำหรับการขายให้พร้อม
- เทคนิคการขายที่ 3: รู้เขา เพื่อเราจะได้เข้าใจ
- เทคนิคการขายที่ 4: เตรียมคอนเทนต์ให้พร้อม
- เทคนิคการขายที่ 5: ทำ CRM ให้ดีต้องเริ่มจากรากฐาน
- เทคนิคการขายที่ 6: ทำสิ่งต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า
- เทคนิคการขายที่ 7: ทำ Cold Outreach ให้มีประสิทธิภาพ
- เทคนิคการขายที่ 8: เสียงจากลูกค้า มีคุณค่ามากกว่าเสียงไหน ๆ
- สรุป
- ตาคุณแล้ว
8 เทคนิคการขาย ช่วยให้คุณขายได้ขายดีกว่าเดิม
เทคนิคการขายที่ 1: สร้างความประทับใจแรกให้ดี
“The first impression is the last impression” – คุณมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวสำหรับความประทับใจแรก …เพราะฉะนั้นต้องทำมันให้ดี
สำหรับโลกออฟไลน์ การสร้างความประทับใจนั้นทำได้โดยการแต่งตัวให้เหมาะสม ส่วนโลกออนไลน์นั้น ผมคิดว่ามันเริ่มจาก “Email”
ผมคิดว่าเครื่องมือพื้นฐานที่เป็นความประทับใจแรกของนักขายทุกคนอย่าง Email ที่ว่านี้ ไม่ควรจะลงท้ายด้วย @gmail.com @hotmail.com หรือ @icloud.com เพราะมันดูไม่เป็นมืออาชีพสักเท่าไหร่
คุณควรที่จะใช้ Business Email ที่ลงท้ายด้วย @yourcompanyname.com มากกว่า (เช่น ถ้าของ Content Shifu ก็จะลงท้ายด้วย @contentshifu.com)
ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ ๆ เขาจะมีระบบ Business Email ให้คุณใช้อยู่แล้ว แต่ถ้าคุณต้องหาระบบ Business Email ให้กับทีม ตัวที่ผมแนะนำที่สุดคือ Google Workspace (ของ Google) โดยราคาเริ่มที่ $6 ต่อคนต่อเดือน ถ้าคุณอยากลองดูทางเลือกอื่นเพิ่มเติม ลองไปดู Office 365 Business (ของ Microsoft) ซึ่งราคาเริ่มต้นที่ $3 ต่อคนต่อเดือน เช่นเดียวกัน หรือถ้าอยากเริ่มต้นใช้งานฟรี (สำหรับบริษัทที่มีไม่เกิน 5 อีเมล) ลองไปดูของ Zoho Mail ได้ครับ
นอกเหนือจาก Business Email แล้ว บริการเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงเครื่องมืออื่นที่ช่วยให้คุณคาดเดาชีวิตของคุณได้ง่ายขึ้นอีก อย่างเช่น Calendar (ใช้เพื่อยิงนัดหรือดูนัดต่างๆ) ระบบ Chat ระบบ Video Call รวมไปถึงการจัดการข้อมูลและเอกสารออนไลน์ (ถ้าเป็นของ Google ก็จะเป็น Google Drive และ Doc/Sheet/Note ถ้าของ Microsoft ก็จะ One Drive และ Word/Excel/Powerpoint)
ใครมืออาชีพกว่าก็จะสร้างความประทับใจได้มากกว่า และใครที่สร้างความประทับใจได้มากกว่า ก็จะมีแต้มต่อในการขายมากกว่า
การใช้ Business Email เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นและเป็นพื้นฐานนะครับ นอกจากอีเมลแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ช่วยทำให้คุณดูมืออาชีพขึ้น เช่น การใส่รูปภาพหรือการใส่ลายเซ็นรายละเอียดข้อมูลและการติดต่อของคุณลงไปด้วย
อย่างรูปทางด้านบนนี้เป็นตัวอย่างลายเซ็นของผมซึ่งคุณสามารถเอา Template แบบนี้ไปใช้ได้ครับ
เทคนิคการขายที่ 2: เตรียมของจำเป็นสำหรับการขายให้พร้อม
เคยไหมครับที่คุณมีนัดพรีเซนต์งานสำคัญและคุณพกความมั่นใจไปอย่างเต็มเปี่ยม แต่พอคุณไปถึงเวลานัดจริง ๆ คุณกลับลืมของที่ควรเอาไปด้วยตอนพรีเซนต์งาน?
เมื่อก่อน ตอนจะไปพรีเซนต์งาน ผมจะลืมนู่นนี่นั่นหลายครั้งมาก ไม่ว่าจะเป็นนามบัตร Clicker หรือตัวต่อเข้ากับจอ Projector หรือ TV
จริง ๆ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรลืมเอาไป ซึ่งถ้าคุณเป็นเหมือนกันกับผม ลืมนู่นนี่นั่นอยู่บ่อย ๆ ผมมีคำแนะนำง่าย ๆ มาให้ครับ
วิธีการแก้ไขการลืมที่ดีที่สุดคือการที่คุณไม่ต้องจำ
สิ่งที่ผมทำนั้นไม่ได้มีอะไรยากเลยแต่ช่วยแก้ไขปัญหาให้ผมไปได้มาก อย่างตัวนามบัตรผมก็จะใส่ 2-3 ใบไว้ในกระเป๋าสตางค์พกติดตัวตลอด ส่วน Clicker ก็ใส่ไว้ในกระเป๋าถือไม่หยิบออกไปไหน และตัวต่อเข้ากับจอ Projector หรือ TV ผมก็ใช้วิธีการซื้อเพิ่ม (ผมจะมีไว้อยู่ที่บ้านอันนึงและพกไว้อีกอันนึง) จ่ายเพิ่มแค่ไม่เท่าไหร่แต่ป้องกันการลืมได้ ผมคิดว่าหลักการมันก็คล้าย ๆ กับการซื้อประกันครับ
เทคนิคการขายที่ 3: รู้เขา เพื่อเราจะได้เข้าใจ
โลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งข้อมูล
ถ้าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่เปิดสาธารณะ ไม่ได้ถูกปกปิดไว้ คุณจะสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ ได้ไม่ยากเลย
ถ้าคุณกำลังจะไปพบเจอลูกค้าใหม่ ๆ ผมคิดว่ามันสำคัญมาก ๆ ที่คุณจะรู้จักบริษัทของพวกเขา หรือถ้าจะให้ดีรู้จักคนที่คุณกำลังจะไปคุยด้วยก่อน เพราะคุณจะได้รู้เบื้องต้นว่าพวกเราเป็นใคร และถ้าคุณค้นคว้าหาข้อมูลได้มากกว่า คุณอาจจะรู้เพิ่มเติมก็ได้ว่าพวกเขามีปัญหาอะไรอยู่หรือมีความต้องการอะไรบ้าง
แน่นอนว่าเวลาพูดถึง “ข้อมูล” และ “การค้นหา” คุณก็คงเห็นด้วยกับผมว่า Google คือเครื่องมืออันดับแรกที่จะโผล่ขึ้นมาในหัว
เครื่องมืออย่าง Google จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณได้ภาพกว้างทั้งสำหรับการค้นหาคน (ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุล หรือประสบการณ์ทำงานในปัจจุบันและอดีต) และบริษัท (ตำแหน่งที่ตั้งและลักษณะธุรกิจของบริษัท)
แต่ถ้าคุณอยากได้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทเพิ่มเติม ผมแนะนำให้คุณลองไปดู Database ของ DBD (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) หรือ Credit Scoring ของ Creden ที่จะช่วยให้คุณได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกของบริษัทที่คุณกำลังติดต่องานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบการเงิน กำไรขาดทุน หรือผู้มีอำนาจในบริษัท
เพราะการ “รู้เขา” เมื่อเอามาบวกกับการที่คุณ “รู้เรา” จะทำให้คุณได้เปรียบในสนามแข่งขัน
เทคนิคการขายที่ 4: เตรียมคอนเทนต์ให้พร้อม
ผมคิดว่าสำหรับนักขายที่ดีนั้น นอกจากคารมและความคมคายแล้ว สิ่งที่นักขายควรจะให้ความสำคัญคือ Resource ต่าง ๆ ที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ใน Buyer's Journey นั้นประกอบไปด้วย Awareness, Consideration และ Decision
โดยปกติแล้ว ฝ่ายการตลาดของคุณมักจะโฟกัสการทำคอนเทนต์ในส่วน Awareness (พร้อมรู้จัก) และ Consideration (พร้อมถูกทำการตลาด) เป็นหลัก แต่อาจจะไม่ได้ทำคอนเทนต์ในส่วน Decision (พร้อมถูกขาย) มากนัก เพราะฉะนั้นทีมขายอาจจะต้องเริ่มต้นทำคอนเทนต์ในส่วนนี้ขึ้นมาเอง หรือร่วมมือกับฝ่ายการตลาดทำคอนเทนต์ส่วนนี้ขึ้นมา
คอนเทนต์ที่ดีจะช่วยให้นักขายหรือฝ่ายขายทำงานง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นคำแนะนำของผม คือ…
1. ลองใช้ทรัพยากรและเวลาที่มากขึ้นในการสร้างคอนเทนต์ที่ช่วยให้คุณทำงานขายได้ดีขึ้น โดยคุณอาจใช้เครื่องมืออย่าง Powerpoint Keynote Canva หรือ VistaCreate ในการช่วยเนรมิตคอนเทนต์ขึ้นมาก็ได้ นอกจากนั้นแล้ว อีกอย่างที่สำคัญคือ ถ้าคุณต้องส่งคอนเทนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยการแชร์ไฟล์ โดยไฟล์ของคุณใหญ่มาก บางครั้งอาจทำให้ลูกค้าไม่ได้รับไฟล์ของคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณต้องแชร์ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ (เกิน 10MB ขึ้นไป) ผมแนะนำว่าคุณควรจะอัปโหลดไฟล์ขึ้น Google Drive หรือ WeTransfer แล้วค่อยแชร์ให้ลูกค้าของคุณ
2. รูปแบบและพฤติกรรมการเสพสื่อของคนบนโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์นั้นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคอนเทนต์ที่คุณจะทำขึ้นมาให้กับคนทั้ง 2 กลุ่มนั้นก็ไม่ควรเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสำหรับโลกออฟไลน์ การส่งโบรชัวร์ที่มีรายละเอียดมากมายให้ลูกค้าก็เป็นวิธีที่ดี แต่ถ้าเป็นโลกออนไลน์ คุณไม่ควรจะส่งโบรชัวร์ที่มีข้อมูลมากมายให้กับลูกค้า เพราะลูกค้าจะดูข้อมูลยาก (โดยเฉพาะถ้าดูผ่านมือถือ) แต่คุณควรจะส่งเป็นไฟล์ Presentation ที่มีข้อมูลหลายหน้า โดยที่แต่ละหน้ามีข้อมูลไม่เยอะมากแทน เป็นต้น
เทคนิคการขายที่ 5: ทำ CRM ให้ดีต้องเริ่มจากรากฐาน
ถ้าคุณกำลังใช้กระดาษ หรือ Spreadsheet เก็บข้อมูลลูกค้าของคุณอยู่ ผมแนะนำว่าคุณควรจะเลิกได้แล้วครับ
สาเหตุที่ผมแนะนำให้คุณเลิกเพราะมันจะทำให้คุณทำ 4 สิ่งต่อไปนี้ได้ยากครับ
1. การติดตามงาน
การกลับไปเช็คข้อมูลในอดีตว่าคุณเคยคุยกับใครไปแล้วบ้าง คุยอะไรกันไปบ้าง หรือติดตามสถานะต่าง ๆ เช่น ถ้าคุณจดลงไปในสมุด มีโอกาสค่อนข้างสูงที่คุณจะหาสิ่งที่คุณคุยหรือตกลงกับลูกค้าไว้ไม่เจอ
2. การเชื่อมต่อข้อมูล
การเชื่อมต่อชื่อผู้ติดต่อ ชื่อบริษัท และชื่อดีลธุรกิจ (Opportunity) เข้าด้วยกันทำได้ลำบาก เพราะต้องอาศัยซอฟต์แวร์อื่นเข้ามาช่วยเชื่อมต่อข้อมูล
3. การทำความเข้าใจสถานการณ์
การเช็คยอดขายที่คาดว่าน่าจะได้ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลว่าดีลธุรกิจไหนมีความสุ่มเสี่ยง (ที่จะวืด) ทำได้ยาก เพราะจะไม่เห็นภาพรวม และขาดระบบ Analytics
4. การจัดการสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล
การจัดการสิทธิ์ในการเห็นหรือดาวน์โหลดข้อมูลของคนแต่ละคน/แต่ละตำแหน่ง (เช่น Sales Manager ควรจะข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ทุกคน แต่ Junior Sales Executive ควรจะเข้าถึงได้เฉพาะลูกค้าที่เขา/เธอดูแล เป็นต้น) ซึ่ง Spreadsheet ไม่มีระบบจัดการสิทธิ์การเข้าถึง
ถ้าคุณไม่อยากเจอปัญหาที่ผมเขียนถึง (หรืออยากเจอให้น้อยลง) ซอฟต์แวร์ CRM เป็นสิ่งที่จำเป็น
สำหรับ B2B ซอฟต์แวร์ CRM จะช่วยให้คุณสามารถบริหาร Pipeline และเคลื่อนย้ายลูกค้าจากโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity) ไปสู่การปิดการขาย (Close Won) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และสำหรับ B2C ซอฟต์แวร์ CRM จะช่วยให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่ใช่ได้ด้วยข้อเสนอที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม
ส่วนซอฟต์แวร์ CRM สำหรับ B2B ที่ผมคิดว่าน่าสนใจและคุณน่าจะไปลองใช้งานดูก็คือ Pipedrive และ HubSpot CRM
ส่วนซอฟต์แวร์ CRM สำหรับ B2C ผมขออนุญาตไม่แนะนำในบทความนี้นะครับ เพราะผมคิดว่า คำว่า “CRM” สำหรับ B2C เป็นคำที่ค่อนข้างกว้าง มักรวมไปถึงการทำ Personalization, Loyalty Program, Social Media Management, Ticketing และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ตัวผมเองก็ไม่ค่อยถนัดเรื่อง CRM สำหรับ B2C สักเท่าไหร่ ถ้ามีโอกาส ผมจะหาคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาเขียนลง Content Shifu ให้นะครับ 🙂
ไม่ว่าจะเป็น B2B หรือ B2C สำหรับการทำ CRM แล้ว การเก็บข้อมูลให้ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญครับ (ดูข้อมูลเกี่ยวกับระบบ CRM 4 อย่างได้ที่นี่)
เทคนิคการขายที่ 6: ทำสิ่งต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า
เคยเจอเหตุการณ์ประมาณนี้ไหมครับ… คุณหมกมุ่นอยู่กับเตรียมใบเสนอราคาหรือข้อเสนอ จนทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดึกดื่น และลูกค้าของคุณเลิกงานแล้ว
ถ้าคุณส่งใบเสนอราคาของคุณทันทีในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าลูกค้าของคุณจะยังไม่อ่าน แถมเขาอาจมองว่าคุณไปรบกวนเวลาหลังเลิกงานของเขาอีกด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น คุณเลยตั้งเวลาปลุกให้เตือนคุณตอน 9 โมงเช้า เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าลืมส่งใบเสนอราคาให้กับลูกค้า
วันรุ่งขึ้น นาฬิกาปลุกของคุณดังขึ้นตอน 9 โมงเช้า แต่ตอนนั้นคุณมัวแต่วุ่นทำเรื่องอื่น ๆ อยู่จนเผลอลืมไป…
ถ้าคุณเคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้หรือเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้อยู่ มาตั้งเวลาส่งงานล่วงหน้ากันดีกว่าครับ
ปัจจุบันระบบอีเมลต่างๆ ก็มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณตั้งเวลาในการส่งอีเมลหาผู้รับได้อย่างง่ายๆ อย่างรูปด้านบนก็เป็นรูปจาก Gmail ที่สามารถเลือกตั้งเวลาส่งได้ตามที่คุณอยากส่งครับ
ในเรื่องของงานขาย คุณมีกิจกรรมยิบย่อยต่าง ๆ ที่ต้องทำมากมาย เพราะฉะนั้นอะไรที่สามารถทำให้เสร็จล่วงหน้าได้ก็ทำมันซะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณอาจจะลืมหรือไม่มีเวลาก็เป็นได้
เทคนิคการขายที่ 7: ทำ Cold Outreach ให้มีประสิทธิภาพ
Cold Outreach คืออะไร?
Cold Outreach คือ การติดต่อไปหาคนที่ไม่รู้จักเพื่อทำการขออะไรบางอย่างจากคนเหล่านั้น (เช่น ขอให้ซื้อของ)
แน่นอนว่าถ้าคุณติดต่อไปหาคนที่ไม่รู้จัก อัตราความสำคัญของคุณจะค่อนข้างต่ำ เพราะถึงแม้คนจะชอบซื้อ แต่คนนั้นไม่ชอบที่จะถูกขายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะจากคนไม่รู้จัก
ถ้าคุณเน้นทำ Cold Outreach ด้วยการโทรศัพท์ เทคนิคนี้คงจะช่วยอะไรคุณไม่ได้ แต่ถ้าคุณทำ Cold Outreach ด้วยอีเมล เทคนิคนี้ช่วยให้คุณขายของได้มากขึ้นแน่ ๆ
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคการขายที่ต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้วครับ
เทคนิคนี้เรียกว่าการติดตามผลการขายแบบอัตโนมัติ (Sales Automation) คือ คุณสามารถติดตามผลได้ว่าใครเปิด/ไม่เปิด ตอบ/ไม่ตอบ คลิก/ไม่คลิก อีเมล แล้วสามารถส่งอีเมลหาพวกเขาตามพฤติกรรมของพวกเขาได้แบบอัตโนมัติ
เช่น ถ้าคนที่คุณส่งอีเมลไปหาเปิดเมลแต่ไม่ตอบคุณ คุณสามารถตั้งค่าได้ว่าอีก 3 วันให้ส่งอีเมลไปติตตามผลอีกรอบ แล้วถ้าเขายังไม่ตอบอีก อีก 7 วันค่อยส่งอีเมลไปตามตื๊อครั้งสุดท้าย
เครื่องมือที่ช่วยให้คุณทำอย่างนี้ได้ที่ผมอยากแนะนำมีอยู่ 2 ตัว คือ Mailshake และ Gmail Auto Follow Up
ผมเคยใช้ Mailshake ในการขายของมาแล้ว ซึ่งได้ผลดีมากเพราะมันเหมือนกับการที่ผมมานั่งพิมพ์อีเมลส่งให้คนแต่ละคนด้วยตัวเองจริง ๆ โดยที่รูปทางด้านบนเป็นตัวอย่างของ Report และตัวอย่างของอีเมลที่สร้างใน Mailshake
เทคนิคการขายที่ 8: เสียงจากลูกค้า มีคุณค่ามากกว่าเสียงไหน ๆ
การพูดที่เงียบเหงาที่สุดคือการพูดคนเดียวโดยที่ไม่มีใครตอบกลับมา
เช่นเดียวกันกับการขาย ถ้าคุณเอาแต่ขาย ขาย ขาย โดยที่ไม่มีการติดตามหรือวิเคราะห์ผลลัพธ์ว่าสินค้าของคุณตอบโจทย์หรือไม่ตอบโจทย์ ลูกค้าชอบหรือไม่ชอบสินค้าของคุณ คุณก็จะไม่สามารถปรับปรุงหรือพัฒนาการขายของคุณให้ดีขึ้นได้
ถ้าเป็นโลกออฟไลน์ การถามหา Feedback จากลูกค้าก็คงจะเป็นการนั่งคุยกันหรือการเอาแบบประเมินไปแจกให้ลูกค้า
สำหรับโลกออนไลน์แล้ว มันก็มีวิธีที่คล้าย ๆ กันอยู่ แต่อาจจะทำให้คุณใช้แรงน้อยกว่า
วิธีแรกคือการส่ง Survey ในรูปแบบออนไลน์แทน ซึ่งเครื่องมือที่ผมชอบใช้ก็คือ Typeform และ Google Form (ตัว Typeform จะหน้าตาสวยกว่า Google Form แต่ตัวฟรีจะจำกัดผู้ตอบแบบสอบถามให้มีได้แค่ 10 ครั้งต่อเดือน)
ถ้าคุณเอาวิธีการจากเทคนิคการขายที่ 7 มาใช้ช่วยส่ง Survey คุณก็จะได้คนตอบมากขึ้นไปอีก
วิธีที่สองเหมาะสำหรับคนที่ใช้เว็บไซต์ในการขาย (คำว่าขายในที่นี้คือจะปิดการขายบนโลกออนไลน์ไปเลยหรือใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำให้ลูกค้าติดต่อมาแล้วค่อยปิดการขายบนโลกออฟไลน์ก็ได้)
ง่ายๆ เลยก็คือแค่คุณทำการติดตั้ง Software ที่ชื่อว่า Hotjar ลงไปในเว็บไซต์ของคุณ นอกจากที่ Hotjar จะเอาไว้ใช้ดู Heatmap ของการปฏิสัมพันธ์ของคนที่มีกับเว็บไซต์ได้แล้ว Hotjar ยังช่วยให้คุณสามารถทำ Poll ง่าย ๆ ได้อีกด้วย
รูปด้านบนเป็นตัวอย่างของผลลัพธ์การใช้ Poll ของ Hotjar กับหน้าขายคอร์สของ Content Shifu จะเห็นได้ว่ามี Feedback ดี ๆ มากมายที่ช่วยให้เราเอาไปปรับปรุงหน้าขายของของเราต่อ
“Feedback คือของขวัญและเสียงสวรรค์จากลูกค้า”
สรุป
เทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยให้นักขายสามารถทำในสิ่งที่ได้แต่ฝันในอดีตได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการขายแบบอัตโนมัติ ระบบ CRM ระบบตั้งค่าการส่งอีเมลอัตโนมัติ และอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าคุณลองเอาเทคนิคและเครื่องมือที่ผมแชร์ไปทั้ง 8 ข้อไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณ ผสานเข้ากับประสบการณ์ ความรู้และเทคนิคการขายของคุณ ผมเชื่อว่ามันจะช่วยให้คุณยกระดับการขายของคุณไปได้อีกขั้นแน่ ๆ ครับ
ตาคุณแล้ว
คุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเทคนิคการขายที่ผมเพิ่งแชร์ไป หรือคุณมีเทคนิคการขายอื่น ๆ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มาแนะนำผมกับผู้อ่านของ Content Shifu เพิ่มเติมบ้างรึเปล่า? มาคุยกันต่อได้ในคอมเมนต์เลยนะครับ 🙂