จากรายงาน Kantar ปี 2020 พบว่า คนเราเลือกเปิดรับและเชื่อถือในแบรนด์จาก 2 แหล่งใหญ่ๆ ได้แก่ เพื่อนและครอบครัว (Friend and Family) กับ รีวิวจากผู้ใช้งานจริง (Review Sites)
โดยคนเลือกเปิดรับข่าวสารแบรนด์และบริการต่างๆ จาก เพื่อนและครอบครัวคิดเป็น 60% รีวิวจากผู้ใช้งานจริงคิดเป็น 44% และจากโฆษณา 37%
อีกทั้ง คนจะเลือกเชื่อถือตัวแบรนด์และบริการต่างๆ จาก เพื่อนและครอบครัวคิดเป็น 56% รีวิวจากผู้ใช้งานคิดเป็น 40% และจากโฆษณา 14%
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ยุคสมัยนี้ผู้บริโภคนั้นค่อนข้างเชื่อในพลังคำพูดจากคนอื่น ที่ไม่ใช่เจ้าของแบรนด์ จนทำให้ปัจจุบันนี้เราได้เห็นกลยุทธ์หนึ่งที่หลายคนเอามาใช้คือ การใช้ Influencer มาโปรโมตสินค้า หรือรีวิวสินค้าให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่รู้ไหมคะว่า จริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องจ้าง Influencer เสมอไปก็ได้ เพราะบางทีคนใกล้ตัวก็เป็น Influencer ที่ทรงพลังได้เช่นกัน
ว่าแต่จะทำได้ด้วยวิธีไหนบ้าง วันนี้จะมาเผยเคล็ดลับเด็ดๆ ให้ได้รู้กันค่ะ
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
ก่อนอื่น มาทำความรู้จัก Influencer ว่าเขาคือใคร
ขอเล่าให้เคลียร์กันสักนิดก่อนว่า Influencer ที่เรากำลังพูดถึงนี่ เขาคือใคร โดยทั่วไปแล้วคำว่า Influencer หมายถึง บุคคลผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
• บุคคลที่มีชื่อเสียง
• ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ
• Bloggers หรือนักเขียนคอนเทนต์
• Micro Influencers หรือบุคคลธรรมดาทั่วไป ที่ชอบเขียน ชอบรีวิวสินค้า โดยมีฐานติดตามเยอะในระดับหนึ่ง
ประสิทธิผลจากการใช้ Influencer ก็อาจจะมาด้วยความมีชื่อเสียงของบุคคลนั้น ความรู้ที่พวกเขามี หรือฐานของผู้ติดตาม ซึ่ง Influencer ที่จะพูดถึงในบทความนี้ก็คือ ประเภทที่เป็น Bloggers รีวิวสินค้าตามแฟนเพจต่างๆ ค่ะ
เมื่อไรที่ควรจ้าง และไม่จำเป็นต้องจ้าง Influencer
ก่อนอื่นเราต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วค่อยพิจารณาว่า เราจะจ้าง Influencer มาเพื่ออะไร ถ้าคุณเป็นบริษัทที่เปิดใหม่ ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักสินค้าเรามากนัก และต้องการสร้าง Awareness หรือต้องการให้ลูกค้ารับรู้ว่ามีสินค้านี้อยู่ในท้องตลาด รวมไปถึงการบอกต่อคอนเซปต์แบรนด์ให้มันชัดเจนขึ้น
Image from: www. econsultancy.com
Case Study: แบรนด์นาฬิกา Daniel Wellington มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นบริษัทน้องใหม่ ที่เมื่อก่อนก็ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก วันหนึ่งเขาต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และเพิ่มการซื้อขายสินค้า แบรนด์เลยจ้าง Celebrity รวมถึง Micro Influencers ถ่ายภาพนาฬิกาลงใน Instagram พร้อมแฮชแท็ก #danielwellington ซึ่งเป็นภาพแนวไลฟ์สไตล์ค่ะ
โดยให้ใส่นาฬกาในชีวิตประจำวัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า นี่เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตนะ เพราะไม่ว่าจะไปทำอะไร ก็ต้องมีสิ่งนี้ติดตัวไปด้วยเสมอ และจากการใช้ผู้มีชื่อเสียงในการบอกต่อ ก็ช่วยบอกความเป็นตัวตนของแบรนด์เพิ่มขึ้นไปอีกว่า เป็นนาฬิกาแนวไหน นอกจากนี้ยังมีการแนบโค้ดโปรโมชั่นสินค้าไว้ให้ Follower ที่ติดตามด้วย
ผลที่เกิดขึ้นคือ สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเห็นคอนเทนต์ มีคนรู้จักแบรนด์นาฬิกานี้มากขึ้น โดยสังเกตได้จากยอด Follower ใน Instagram ที่พุ่งขึ้นสูงถึง 2 ล้านกว่า ในช่วงเวลาที่ทำแคมเปญนี้ และยังเพิ่มยอดขายจากโค้ดโปรโมชั่นอีกด้วย
แต่ถ้าเป้าหมายของคุณคือ อยากได้ยินเสียงการบอกต่อจากลูกค้าตัวจริงว่าเขารู้สึกยังไงกับสินค้าเรา หรือในกรณีที่เราอยากประหยัด Budget ของเราลง เราก็สามารถใช้อีกวิธีหนึ่งได้ค่ะ คือการเปลี่ยนคนใกล้ตัวของเรามาเป็น Influencer เสียเอง
หาคนโปรโมตสินค้า/บริการ: 5 วิธีเปลี่ยนคนใกล้ตัวเป็น Influencer
Influencer ที่ว่าอาจไม่ต้องเป็น Blogger ที่มีชื่อเสียง หรือผู้มีอิทธิพลอื่นๆ ที่จับตัวยากก็ได้ เพราะเราสามารถเปลี่ยนคนใกล้ตัวให้เป็น Influencer ได้ค่ะ
สำหรับการหา Promoter หรือ Advocate สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
1. เปิดพื้นที่ให้ลูกค้าจริงมารีวิว
แม้พลังการบอกต่อของ Influencer จะสามารถเพิ่มการรับรู้ของสินค้าได้มากมาย แต่ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ คนเรามักไม่ชอบความรู้สึกว่า ตัวเองกำลังถูกโฆษณาสักเท่าไหร่ บางครั้งลูกค้าก็อยากอ่านรีวิวจากผู้ใช้จริงมากกว่า แล้วเราจะได้รีวิวจากลูกค้าจริงมาได้อย่างไร
วิธีการก็เช่น การทำ User Generated Content (UGC) โดยให้ลูกค้าเป็นผู้สร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้า และเผยแพร่คอนเทนต์ด้วยตนเอง แคมเปญ UGC ที่น่าสนใจและประสบความสำเร็จ ก็เช่น แคมเปญ White Cup Contest ของ Starbucks
Image from: news.starbucks.com
Case Study: Starbucks จะให้แก้วสีขาวๆ กับลูกค้า และให้ลูกค้าวาดลวดลาย ตกแต่งแก้วของตัวเองให้สวยงามตามสไตล์ของตัวเอง และให้โพสต์ลงสื่อ Social Media พร้อมติดแฮชแท็กว่า #WhiteCupContest
สิ่งที่เกิดขึ้นจากแคมเปญนี้ก็คือ มีคนวาดลวดลายลงบนแก้ว และโพสต์ลงใน Social Media ซึ่งแค่ในโลก Twitter มีคนโพสต์มากถึง 4,000 โพสต์ คนได้รู้จักแบรนด์ Starbucks มากขึ้นจากโพสต์ของกลุ่มลูกค้าด้วยกันเอง หลายคนยังบอกอีกค่ะว่า นี่คือแคมเปญที่ใช้เงินในการลงทุนไม่มาก แต่ได้รับผลตอบรับที่มากมายมหาศาลจริงๆ ค่ะ
2. ฝากเพื่อนสนิทหรือคนใกล้ตัวช่วยพูดถึงสินค้า
ไม่ต้องไปหา Influencer ที่ไหนไกลค่ะ เพื่อนสนิทใกล้ๆ ตัวเรา ก็สามารถช่วยโปรโมตให้เราได้เช่นกัน ลองให้ตัวอย่างสินค้าให้เพื่อนได้ใช้ และขอให้เพื่อนช่วยรีวิว ช่วยบอกต่อสินค้าของเราให้ แต่ก็ต้องขอบอกก่อนนิดหนึ่งว่า ต้องเป็นเพื่อนที่สนิท และเขาสามารถเต็มใจที่จะช่วยเราได้จริงๆ ค่ะ
บางคนอาจจะมองว่า เพื่อนเราก็เป็นคนทั่วไป ถึงแม้จะรีวิวไป ก็มีคนเห็นไม่เยอะหรอก แต่ใครจะรู้ล่ะค่ะว่า รีวิวของเพื่อนของคุณอาจจะมีอิทธิพลต่อเพื่อนของเขาอีกทีก็ได้ และสิ่งพิเศษของความธรรมดาก็คือ มันดูเป็นรีวิวที่มีความสมจริงกว่า ที่ไม่ได้ผ่านการว่าจ้าง แต่เป็นการรีวิวให้ด้วยใจจริงๆ
Case Study: ในวงการหนังสือ บางสำนักพิมพ์นักเขียนจะได้ยอดหนังสือฟรี ซึ่งจะเก็บไว้อ่านเอง เก็บไว้เป็นที่ระลึก หรือจะแจกคนรู้จักกันได้ วิธีการโปรโมตหนังสือที่นักเขียนบางคนทำกันก็คือ จะเอาหนังสือที่ตัวเองได้ไปแจกให้กับเพื่อนๆ แล้วให้เพื่อนช่วยบอกต่อผลงานการเขียนของตัวเอง
3. สร้างความประทับใจให้ลูกค้าจนเกิดการบอกต่อ
ก่อนที่เราจะเอาเงินไปทุ่มให้กับการโฆษณา หรือจ้าง Influencer มากมายให้แพร่กระจายบอกต่อสินค้าให้โลกได้รับรู้เนี่ย สิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้กันก็คือ การดูแลลูกค้าของเราให้ดีที่สุดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการที่ดี ตอบคำถามลูกค้าด้วยคำพูดที่เป็นมิตร น่าประทับใจ หรือสร้างสิ่งเซอร์ไพร้ส์อะไรบางอย่างให้ลูกค้ารู้สึกว่า เขาคือคนสำคัญจริงๆ
ซึ่งพอลูกค้าประทับใจ เขาก็จะบอกต่อสิ่งนี้ออกไปเอง และถือว่าเป็นการบอกต่อที่มาจากปากลูกค้าจริงๆ ด้วย ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนัก และความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก
Image from: heartofthecustomer.com
Case Study: บริษัท HEX เขียนการ์ดขอบคุณลูกค้าทุกคนที่ซื้อสินค้าด้วยลายมือที่มากถึง 13,000 กว่าชิ้น แม้การเขียนด้วยลายมือจะเป็นอะไรที่ดูล้าสมัย แต่สิ่งนี้สื่อให้เห็นถึงความตั้งใจของบริษัท พอลูกค้าเห็นก็รู้สึกว่า มันเป็นการ์ดขอบคุณที่ตั้งใจเขียนเพื่อลูกค้าโดยเฉพาะจริงๆ ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติที่บอกว่า “ขอบคุณ” แล้วจบ
อีกทั้ง การเขียนด้วยลายมือยังสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับคนที่เห็นได้ค่ะ เพราะอย่างที่บอกการเขียนการ์ดถึงกันในยุคที่อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีอาจจะเป็นอะไรที่ดูล้าสมัย แต่อีกมุมหนึ่งมันก็เป็นสิ่งที่แปลกตา หาเจอไม่ได้ง่ายๆ และเห็นถึงความพิถีพิถันค่ะ
เห็นอย่างนี้แล้ว ใครจะไม่แชร์ต่อล่ะ และจากการเขียนการ์ดขอบคุณ ก็ทำให้บริษัทอย่าง HEX เป็นที่รู้จักในวงกว้างค่ะ
4. ให้พนักงานช่วยโปรโมตสินค้าของเรา
ไม่ต้องไปมองหาใครไกล มองมาที่พนักงานหรือลูกน้องของเรานี่เองค่ะ ลองให้พนักงานของเราเล่น Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook Twitter Instragram หรือบล็อกส่วนตัวก็ได้ แล้วเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับที่ทำงาน หรือเกี่ยวกับสินค้าของเรา
ลองคิดเล่นๆ นะคะว่า User ทั่วไปที่ใช้ Facebook มีคนเป็น Friends อย่างน้อย 200 คน แล้วในบริษัทเรามีพนักงาน 20 คน ก็เท่ากับว่า มีคนติดตามรวมกันถึง 4,000 คน ถ้าให้พนักงานมาพูดถึงสินค้า หรือบริษัทของเรา ก็เท่ากับว่าคอนเทนต์เหล่านั้นได้แพร่กระจายออกไปมากถึง 4,000 คนเลยทีเดียวค่ะ
Case Study: Zappos ธุรกิจขายรองเท้า ที่ได้เปิดโอกาสให้พนักงานได้แชร์ไลฟ์สไตล์ในการทำงานลงบนโซเชียลมีเดีย สิ่งที่เกิดตามมาคือ ลูกค้ารู้สึกสนใจการบอกเล่าของเหล่าพนักงานมากๆ จนทำให้ลูกค้าเริ่มรู้จัก รู้ว่าบริษัทนี้ทำเกี่ยวกับอะไร มีสินค้าอะไรขายบ้าง
และที่น่าสนใจคือ วิธีการนี้ไม่ใช่แค่ดึงดูดลูกค้าค่ะ แต่ยังดึงดูดพนักงานหน้าใหม่ ให้อยากเข้ามาร่วมกันองค์กรด้วย จากการได้อ่านไลฟ์สไตล์การทำงานของเหล่าพนักงานในโลกโซเชียลนั่นเอง
5. สร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อลูกค้า
การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ก็สามารถทำให้สินค้าของเราเข้าถึงลูกค้าเราได้ไม่น้อยเลยค่ะ แต่คอนเทนต์ที่ว่านี้ก็อย่าฮาร์ดเซลล์มากจนเกินไป แต่เราควรคำนึงถึงว่า คอนเทนต์เราจะมอบประโยชน์อะไรให้กับลูกค้า
เพราะลูกค้าเองก็อยากจะเสพ อยากจะอ่านคอนเทนต์ที่เขารู้สึกว่า เข้ามาอ่านแล้วได้อะไรกลับไป
Image from: www.makeup.com/
Case Study: L'oreal สร้างเว็บไซต์ makeup.com เกี่ยวกับความสวยความงามขึ้นมา ซึ่งเว็บไซต์นี้ไม่ได้เน้นขายของค่ะ แต่เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับความงาม ความรู้เรื่องผิว หรือรวมถึง How to การแต่งหน้า ทำให้คนที่อยากให้ตัวเองดูสวยขึ้น ดูดีขึ้นมีความสนใจ และคลิกเข้ามาอ่านคอนเทนต์มากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เว็บไซต์จะมีหมวดหนึ่งของเว็บไซต์ที่เอาไว้ขายของค่ะ เป็นหน้าที่คลิกเข้าไปแล้ว จะมีสินค้าต่างๆ วางขายอยู่ ที่ไม่ใช่มีแค่ของ L'oreal เท่านั้น พอมีคนเข้ามาอ่านคอนเทนต์ เขาก็จะรู้ทันทีเลยว่า ถ้าอยากดูดีขึ้นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหน ซึ่ง L'oreal ก็มีสินค้ามากมายที่ตอบโจทย์ความสวยความงาม
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการใช้คอนเทนต์เป็นตัวนำพาให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้าของแบรนด์ค่ะ
สรุป
การใช้ Influencer ก็มีประโยชน์ในการโปรโมตสินค้าให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แต่ถ้าเราไม่มีงบมากพอ หรือไม่อยากใช้ Influencer เพียงอย่างเดียว นี่ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยให้สินค้าเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นค่ะ
นอกจากนี้จาก Framework ของ Inbound Marketing จะเห็นได้ว่า มีกลยุทธ์หลายขั้นตอน ในส่วนของการจ้าง Influencer ถือเป็นขั้นตอนในขั้น Awareness เพื่อการ Attract หรือเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้มาเป็นผู้ชมเท่านั้นเอง
ในขณะที่การเปลี่ยนลูกค้ามาเป็น Promoter ให้เรา ถือว่าเป็นขั้น Delight เพื่อเปลี่ยนคนรู้จักเราอยู่แล้วให้เกิดความพอใจ อีกทั้งการที่ลูกค้าโปรโมตให้เรายังสามารถดึงเพื่อนๆ ที่พวกเขารู้จัก เดินเข้ามาเป็นลูกค้าเราใหม่ให้เราเพิ่มขึ้นได้ด้วยค่ะ
ตาคุณแล้ว
เอาล่ะค่ะ พออ่านบทความเรื่องนี้จบ ลองหันไปมองคนข้างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวสิคะ บางทีเขาอาจเป็น Influencer ที่สามารถบอกต่อสินค้าเราให้ใครหลายคนได้รู้จักก็ได้นะคะ