คุณเห็นเว็บไซต์ที่เป็นสื่อทำคอนเทนต์ดีๆ เจ๋งๆ มากมาย และคุณมองพวกเขาเป็นแบบอย่างและอยากที่จะทำให้ได้แบบพวกเขา?

คำแนะนำของผมคือคุณควรที่จะเรียนรู้วิธีการทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจจากพวกเขา แต่เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำคอนเทนต์ คุณไม่ควรที่จะทำตามเขา

ในบทความนี้ผมจะมาอธิบายเหตุผลว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรคิดและทำเหมือนสื่อ รวมถึงผมจะมาแนะนำเพิ่มเติมด้วยว่าธุรกิจควรคิดและทำอย่างไร

รับรองว่าหลังจากที่คุณอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะได้ไอเดียไปทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณมากขึ้นอย่างแน่นอนครับ

ป.ล. คำว่าธุรกิจในที่นี้ผมหมายถึงธุรกิจทั่วๆ ไปที่มีการขายสินค้าและบริการและไม่ได้เป็นสื่อที่รายได้หลักมาจากการรับโฆษณานะครับ

สาเหตุที่ธุรกิจไม่ควรคิดและทำคอนเทนต์เหมือนสื่อ

1. เป้าหมายของธุรกิจกับเป้าหมายของสื่อต่างกัน

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของสื่อคือจำนวนผู้ชมที่เข้ามาเห็นคอนเทนต์ที่พวกเขาผลิต (ไม่ว่าจะเป็นยอด View บนเว็บไซต์หรือยอด Engagement บน Social) สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า “จำนวนผู้ชม” นั้นคือ “สินค้า” ของพวกเขา

ยิ่งมีจำนวนผู้ชมมาก สินค้ายิ่งมีมูลค่ามาก

แต่ธุรกิจโดยทั่วๆ ไปนั้นต่างออกไป สินค้าที่ธุรกิจขายนั้นไม่ใช่ “จำนวนผู้ชม” แต่อาจจะเป็นสิ่งอื่น เช่น อาหาร เสื้อผ้า เครื่องจักร หรืออะไรก็แล้วแต่

เพราะฉะนั้นการที่ธุรกิจสามารถทำคอนเทนต์ให้มีผู้เข้าชมได้เป็นจำนวนมาก อาจจะไม่ได้ตอบเป้าหมายทางธุรกิจเสมอไป

2. ธุรกิจมีเวลาทำคอนเทนต์ที่จำกัดกว่าสื่อ

สำหรับสื่อ การทำคอนเทนต์คือหน่ึงในเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าไม่มีคอนเทนต์ที่น่าสนใจก็จะไม่มีผู้เข้าชม

แต่สำหรับธุรกิจนั้นต่างออกไป

การทำคอนเทนต์นั้นไม่ใช่งานส่วนใหญ่ของธุรกิจ แต่เวลาส่วนใหญ่นั้นจะต้องเอาไปใช้กับเรื่องอื่นเช่นการผลิตสินค้าให้ดี การบริการหลังการขาย และอื่นๆ

ยิ่งธุรกิจโยกเวลามาให้การผลิตคอนเทนต์มากเท่าไหร่ หมายความว่าทรัพยากรในด้านอื่นๆ ก็จะยิ่งลดลงมากเท่านั้น

3. ทีมงานของธุรกิจกับสื่อมีความสามารถที่ต่างกัน

สำหรับสื่อ ทีมงานของพวกเขาเต็มไปด้วยนักสร้างคอนเทนต์มือฉมังไม่ว่าจะเป็นนักเขียน นักออกแบบ นักตัดต่อวีดีโอ หรือนักสัมภาษณ์ แต่สำหรับธุรกิจโดยทั่วๆ ไปแล้วอาจจะไม่ได้มีทรัพยากรตรงส่วนนี้มากนัก บริษัทที่เป็นสายวิศวกรรม ก็จะมีคนสายวิศวกรรมอยู่มาก บริษัทสายสถาปัตยกรรม ก็จะมีคนสายสถาปัตยกรรมอยู่มาก

เพราะฉะนั้นการจะไปทำให้คอนเทนต์ที่สร้างออกมานั้น ดัง! ปัง! โดน! อย่างสม่ำเสมอแบบสื่อก็อาจจะทำได้ยาก

นี่คือ 3 เหตุผลว่าทำไมธุรกิจจึงไม่ควรคิดและทำเหมือนสื่อ

แล้วถ้าไม่ทำคอนเทนต์เหมือนสื่อ ธุรกิจควรคิดและทำแบบไหน

1. เน้นทำคอนเทนต์ที่ Engagement ดี Relevant

อย่างที่บอกไปว่า…

“จำนวนผู้ชม” คอนเทนต์ของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ “จำนวนผู้ชมที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย” ต่างหากที่สำคัญกว่า

ผมลองสมมุติตัวอย่างง่ายๆ แล้วกันนะครับ

สมมุติว่าบริษัทของคุณขายบริการทางด้านกฏหมายธุรกิจ อยู่มาวันนึงเกิดมีเรื่องราว Talk of the Town เกี่ยวกับเรื่องกฏหมายมรดก (เช่น กรณีละครเรื่องเลือดข้นคนจางที่ฮิตติดลมบนทั่วบ้านทั่วเมือง)

ถ้าเป็นสื่อ การเอาเรื่องกฏหมายมรดกมาขยี้ต่อนั้นถือเป็นเรื่องที่ทำได้และควรทำเพราะสื่อต้องการยอด Engagement ยอด View ที่จะเอาไปขายต่อ

แต่ถ้าสำหรับธุรกิจของคุณที่ขายบริการทางด้านกฏหมายธุรกิจ การที่คุณทำคอนเทนต์เรื่องกฏหมายมรดกอาจจะทำให้คอนเทนต์ของคุณมียอด Engagement และเรียกคนมาสนใจได้มากกว่าปกติ แต่มีแนวโน้มว่าคนเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ได้เป็น Lead หรือลูกค้ามุ่งหวังของคุณ

ในความเห็นของผม การทำคอนเทนต์ที่ตรงประเด็น คนเห็นแค่หลักร้อยคน แต่ในร้อยคนนั้นมี Lead อยู่สัก 10 คนนั้นดีกว่าการทำคอนเทนต์ปังๆ โดนๆ คนเห็นเป็นหมื่นเป็นแสน แต่มี Lead อยู่แค่ 1-2 คนหรือไม่มี Lead ของคุณอยู่ในนั้นเลยมากนัก

Shifu แนะนำ
ผมไม่ได้บอกว่าการทำคอนเทนต์ที่เน้น Engagement ไม่ดีนะครับ ถ้าคุณสามารถทำคอนเทนต์ที่ทั้งมี Engagement ดีและ Relevant กับธุรกิจของคุณจริงๆ มันจะเพิ่มพลังให้คอนเทนต์ของคุณอีกมากเลยครับ

2. เน้นทำคอนเทนต์ที่ Topical Evergreen

ผมเคยเขียน Topical vs Evergreen ไปแล้ว

ผลลัพธ์การ ทำคอนเทนต์ แบบ Topical

ซึ่งผมขอสรุปง่ายๆ อีกครั้งว่า Topical Content คือคอนเทนต์ที่ทันกระแส แต่จะเสื่อมค่าตามกาลเวลาเช่นคอนเทนต์พวกข่าว

Evergreen Content คือคอนเทนต์ที่ไม่เสื่อมค่าตามกาลเวลา เช่น คอนเทนต์ที่แก้ไขหรือตอบปัญหาให้คน

สำหรับสื่อแล้ว Topical Content เป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่พวกเขาต้องนำเสนอเพราะนั่นคือหนึ่งในหน้าที่หลักของพวกเขา (สื่อสารเรื่องราวความจริงให้สังคม)

การทำคอนเทนต์ Evergreen ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

แต่สำหรับธุรกิจที่โฟกัสหลักไม่ใช่การผลิตและนำเสนอคอนเทนต์ การเอาแรงไปโฟกัสที่ Evergreen Content จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

ถ้าคุณเลือกหัวข้อมานำเสนอให้ดี และทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์คน คอนเทนต์เพียงแค่คอนเทนต์เดียวของคุณอาจจะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจมากกว่าที่คุณคาดไว้ก็ได้

Note: ถ้าคุณจะทำ Evergreen Content จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องมีเว็บไซต์ ลองเข้าไปอ่านเหตุผลเพิ่มเติมได้ในบทความนี้ครับ

3. วาง Editorial Calendar Funnel ให้ดี

ถ้าเป็นสื่อ สิ่งที่พวกเขาจะโฟกัสคือการวาง Editorial Calendar เพื่อให้พวกเขาสามารถคุมธีมของคอนเทนต์และผลิตคอนเทนต์ออกมาได้ตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ

แต่สำหรับธุรกิจที่คอนเทนต์อาจจะไม่ได้ออกมาบ่อยๆ การสร้าง Editorial Calendar อาจจะไม่ได้สำคัญเท่าการวาง Funnel ให้ดี

การวาง Funnel คือการสร้างกรวยทางเดินให้กับ Leads โดยที่เริ่มตั้งแต่การหา Traffic เข้ามายังกรวยจนกระทั่งพวกเขากลายเป็นลูกค้าของคุณ

ตัวอย่างเช่นของ Content Shifu เราดึงดูดคนเข้ามาหาเราด้วยบทความดีๆ (Awareness)

ตัวอย่างการทำคอนเทนต์ Lead Generation

จากนั้นก็ทำให้คนศึกษาหาข้อมูลและสนใจสิ่งที่พวกเขานำเสนอมากขึ้นด้วย Free Resources (Consideration)

และนำเสนอสินค้าและบริการที่เรามีอย่าง Training หรือบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ (Decision)

การวาง Funnel ที่ดีจะทำให้คุณไม่ปล่อยโอกาสให้เป็นอากาศ นอกจากดึงดูดคนที่ใช่เข้ามาหาได้แล้ว ยังสามารถทำให้พวกเขากลายมาเป็นลูกค้าของคุณได้ด้วย

สรุป

บทความนี้ไม่ได้เป็นบทความที่บอกว่า “ทำเหมือนสื่อไม่ดี”

จริงๆ มีบางอย่างที่คุณสามารถเรียนรู้จากสื่อดีๆ ทั้งในและต่างประเทศได้เช่นเรื่องของการทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจหรือเรื่องของความสม่ำเสมอ แต่สุดท้ายแล้วธุรกิจของคุณไม่ได้เติบโตหรืออยู่ได้ด้วยการขายยอด View หรือยอด Engagement แต่เป็นการขายสินค้าหรือบริการที่คุณมี เพราะฉะนั้นการคิดแผนการทำคอนเทนต์โดยอิงจากธุรกิจ สินค้า และบริการของคุณจริงๆ จึงสำคัญ

ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้แนวคิดดีๆ ไปช่วยให้คุณทำธุรกิจของคุณเติบโตได้มากขึ้นนะครับ

ตาคุณแล้ว

คุณคิดเห็นอย่างไรกับบทความนี้บ้าง? หรือคุณมีแนวคิดอะไรอย่างอื่นเพิ่มเติมมาแชร์ให้ผมและผู้อ่านคนอื่นๆ รู้อีกบ้างไหม? มาคุยกันต่อได้ในคอมเมนต์เลยครับ 🙂

Shifu แนะนำ
เพราะคอนเทนต์และการทำ Digital Marketing ของทุกธุรกิจมีความแตกต่างกัน นอกจากการทำงานที่ไม่ควรเลียนแบบสื่อแล้ว ธุรกิจยังควรปูพื้นฐานด้านการทำการตลาดออนไลน์ให้แข็งแรงขึ้น

เรียนรู้วิธีการทำ Digital Marketing สำหรับธุรกิจด้วยการจัดอบรม Training ให้กับทีม Manager ภายในองค์กรด้วยคอร์ส In-House ที่ทุกธุรกิจควรปูพื้นฐานให้กับทีมผู้นำด้วยคอร์ส Digital Marketing for Manager

พิเศษ! สมัครเรียนตอนนี้ เราออกแบบหลักสูตรเพื่อองค์กรของคุณโดยเฉพาะ

New call-to-action