เชื่อว่า หลายๆ คนที่เข้ามาอ่านบทความของพวกเราตอนนี้ก็คงเป็นลูกค้า Netflix กันอยู่แล้ว เพราะจากประสบการณ์ที่พูดคุยกับผู้คน ส่วนมากจะใช้เวลาว่างในการนั่งดู Netflix ที่บ้าน
- เครียดมาทั้งวันแล้ว หาอะไรคลายเครียดซักหน่อย
- จ่ายเงินไปแล้วต้องเอาให้คุ้ม
- เดี๋ยวดูตอนนี้จบแล้วจะไปนอน…
- ทำไมจบแบบนี้! ดูต่ออีกนิดนึงละกัน
- รีบดูให้จบก่อน เดี๋ยวไปคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง
และอีกสารพัดเหตุผล ที่ทำให้คนติดหนึบอยู่บน Netflix ไม่ไปไหน
ว่าแต่ เคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่า Netflix เขาทำอะไร ทำไมทุกคนถึงติด Netflix ได้ขนาดนี้
ถึงกับทำให้คุณเลือกเอาเวลานอนอันมีค่า (ที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) ไปดูหนัง ซีรีส์ หรือสารคดีบน Netflix รู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลาเกินไปเสียแล้ว
บทความนี้มีคำตอบ
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
เจาะลึกเบื้องหลังการทำงานของ Netflix ที่ทำให้ผู้คนใช้งานอยู่บนแพลตฟอร์มเป็นเวลานาน
Cliffhanger – เทคนิคจบเรื่องให้น่าติดตาม
Cliffhanger เป็นสแลงในภาษาอังกฤษ อธิบายหนังที่เมื่อดูจบไปแล้วรู้สึกอยากรีบดูต่อ เหมือนหนังที่จบด้วยฉากที่ตัวเอกกำลังปีนป่านหน้าผาสูงชัน (Cliff) ตัวเอกพยายามเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงหน้า (Hanger) แต่ทันใดนั้นหนังก็ตัดจบ เกิดเป็นคำถามทิ้งท้ายให้คนดูคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จนต้องตามดูต่อ
เป็นแนวทางการทำซีรีส์ให้คนรู้สึกตื่นเต้นจนอยากติดตามต่อ ทำให้เกิดรู้สึกว่า “แล้วมันจะเป็นยังไงต่อนะ?”
โดยวิธีการหลักๆ ที่มักใช้คือ จะมีปริศนาหรือเรื่องให้คนดูครุ่นคิดก่อนจบเสมอ ด้วยการใช้เทคนิคตามแบบฉบับคนทำหนัง/ละคร/ซีรีส์ มักใช้กัน
ความจริงแล้ว วิธีการนี้ใช้กันในวงการทีวีมาเป็นเวลานานแล้ว จะสังเกตเห็นละครที่ฉายในแต่ละสัปดาห์ พอคนดูจบแล้วก็อยากดูต่อ แต่เพราะต้องรอฉายสัปดาห์ละครั้ง จึงจะมี Gap หรือช่องว่าง ที่ทำให้เราไม่สามารถดูต่อได้ ทำให้เกิด Action อื่นๆ อย่างการนำเรื่องไปเมาท์มอย พูดคุยต่อในวงเพื่อน พี่น้อง หรือเขียนเป็นบทวิเคราะห์ลงเว็บไซต์ พันทิป หรือโซเชียลมีเดียส่วนตัว
พอมาเป็น Netflix เราสามารถเลือกดูต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะในแต่ละเรื่องมีลิสต์ให้เลือกกดดูได้จนจบ ซึ่งก็เป็นเหมือนดาบสองคม คุณสามารถดูได้จนจบไม่ค้างคา แต่หากดูมากเกินไปก็อาจรบกวนเวลาพักผ่อนได้
Entertainment – เสิร์ฟความสนุกสนาน ผ่อนคลายอารมณ์
บน Netflix มีสื่อหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถเสิร์ฟคนดูได้หลากหลาย แต่ละแบบต่างก็ให้ความสนุก ผ่อนคลายในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ภาพยนตร์ – Netflix มีภาพยนตร์ หรือหนังให้เลือกดูหลากหลาย เหมาะสำหรับคอหนังตัวยง ผู้ชื่นชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ แม้หลังๆ จะถูกเอาหนังดังหลายเรื่องออกไปเพราะปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ แต่ตัว Netflix เองก็แก้ปัญหาด้วยการผลิตภาพยนตร์ Original เป็นของตัวเอง
- ซีรีส์ – ซีรีส์บน Netflix มักถูกพูดถึงว่าสนุก มีสีสัน และสามารถนำมาวิเคราะห์ต่อได้มากมาย เหมาะกับผู้ชื่นชอบดูเรื่องยาวๆ ผูกพันธ์กับต่อละคร และมีเวลาว่างเยอะ ซึ่งซีรีส์เองก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Netflix โด่งดัง มีซีรีส์คุณภาพที่เป็น Original ของตัวเองหลายเรื่อง
- สารคดี – สารคดี Netflix มักถูกพูดถึงว่าเป็นสารคดีที่มีคุณภาพ ให้ความรู้ ขณะเดียวกันก็แฝงความสนุกด้วย เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบหาความรู้แบบสนุกสนาน ย่อยง่าย
- การ์ตูน – Netflix มีการ์ตูนหลากหลาย ทั้งฝั่งเอเชียและยุโรป แม้จะไม่ได้มีเรื่องที่โดดเด่นเฉพาะต้องหาดูบน Netflix เท่านั้น แต่ก็พอดีการ์ตูนดังๆ ให้คอการ์ตูนได้เข้ามาดูได้
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Netflix เข้าไปอยู่ในใจผู้คนได้ เพราะ “สนุก” เวลาเครียดจากที่ทำงาน ก็กลับบ้านมาให้รางวัลตัวเอง หาความสุขจากการหาซื้อป๊อปคอร์นมานั่งกินควบคู่ไปกับการดูสื่อรูปแบบต่างๆ บน Netflix
Socializing – ต้องรีบดู เดี๋ยวคุยกับคนไม่รู้เรื่อง
ในวันนี้ ไม่ว่าใครก็คงรู้จัก Netflix ทำให้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสานสัมพันธ์กับผู้คน
และในรายการ คุณโบว์ก็มีแชร์ไว้ด้วยเหมือนกันว่า จากประสบการณ์การ Recruit ผู้คนเข้าทำงาน มีคนกว่า 95% บอกว่าตนใช้เวลาว่างในการดู Netflix
แม้ Netflix จะมีเรื่องที่มีประโยชน์กับคนดูมากมาย แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดู Netflix มากเกินไป ก็จะกลายเป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ
แล้วเพราะอะไรกัน ทำไมหลายคนจึงไม่รู้สึกผิดในการดู Netflix
นั่นเพราะว่า คนส่วนใหญ่ในสังคมก็ดู Netflix เหมือนกัน ทำให้ Netflix กลายเป็นเครื่องมือในการ Connect ผู้คนเข้าหากันได้ ผ่านการพูดคุยเมาท์มอย วิเคราะห์เรื่องต่างๆ จากหนัง ซีรีส์
“ทุกคนดู Netflix เหมือนกัน เราก็จะพูดคุยกัน อ้าว เธอก็ดูหรอ ดูเรื่องอะไร มีเรื่องให้คุยต่อไปได้เรื่อยๆ”
Personalization – คนชอบเห็นเรื่องที่ตนเองสนใจ
หากคุณรู้จัก Spotify ที่มีระบบสรรหาเพลงที่ถูกใจผู้ฟัง Netflix ก็มีระบบเลือกเฟ้นแนวหนังให้ตอบโจทย์สไตล์การดูหนังของคุณเช่นกัน ทำให้คุณรู้สึกอยากดูหนัง ดูซีรีส์หลายๆ เรื่องที่ดูน่าสนุก
“ยิ่งเราเข้าไปดูเรื่องที่ชอบมากเท่าไหร่ ตัว Netflix ก็จะไปหาเรื่องที่เราชอบต่อ มาเสิร์ฟให้คุณดูต่อไปเรื่อยๆ เป็นวงจรไม่รู้จบ”
และคุณรู้ไหมว่า แต่ละคนอาจเห็นปกหนังไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นหนังเรื่องเดียวกันก็ตาม เนื่องด้วยระบบ UX ของ Netflix สามารถ Personalize ได้ถึงขั้นรสนิยมการเสพของผู้คนด้วย
เช่น คนที่ชอบความหวาดเสียว กับคนที่ชอบความวาบหวิว แม้จะเป็นหนังเรื่องเดียวกัน แต่คน 2 กลุ่มนี้จะเห็นปกหนังไม่เหมือนกัน
และ Netflix ยังชอบทำ A/B Testing เพื่อหาประสบการณ์ที่ดีที่สุด ส่งมอบให้กับทุกคน เช่น ทดสอบ Caption ตัวไหนทำให้คนกดดูมากกว่ากัน เป็นต้น
ที่มา: Netflix TechBlog
ข้อสังเกต: Personalization เป็นเรื่องที่มาพร้อมกับโลก Digital ที่จำเป็นต้องใช้ Data มหาศาล และ Netflix ก็ใช้ข้อดีจากระบบนี้ เพื่อสร้างเป็นระบบ AI ที่รู้ใจผู้ชม โดยคัดกรองสิ่งที่ตรงใจกับผู้ชมที่สุด
Accomplishment – ดูจบเยอะ รู้สึกประสบความสำเร็จ
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เราติด Netflix มาก ชนิดที่ดูได้เรื่อยๆ 60 Episode และต้องรีบดูให้จบเร็วๆ ก็จะยิ่งมีความสุข คือความรู้สึกประสบความสำเร็จหลังดูจบนี่เอง
คล้ายการที่เราทำ To Do List แล้วทำสำเร็จไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกดีคล้ายๆ กับการที่เราดูซีรีส์จบเป็นตอนๆ ไปเรื่อยๆ สมองของเราจะรู้สึกว่าเราทำสำเร็จ
เรารีบดูจบ เอาไปวิเคราะห์ต่อ คุยต่อ ก็ยิ่งส่งเสริมให้เรารู้สึก Accomplish ในชีวิต
“ในอดีต ปัญหาของเราคือการติดทีวี แต่ปัจจุบันคือเราติดซีรีส์ ติด Netflix มันติดหนักกว่านั้นอีก ดูจบแล้วไม่จบ มีต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ”
สรุป
เราได้สรุปหลักการที่ได้จากบทความนี้ เพราะอะไร Netflix จึงถูกออกแบบมาให้คนติดอยู่บนแพลตฟอร์มของเขาได้นาน ซึ่งมีหลักการด้วยกัน 5 ข้อดังนี้ค่ะ ลองดูกันนะคะ ว่าตรงกับตัวเองกี่ข้อ สำหรับพวกเรามีทุกข้อเลย
- จบเรื่องให้น่าตื่นเต้น จนคนอยากดูต่อ
- ทำให้คนรู้สึกสนุก เอ็นจอยกับตัวเนื้อหา
- มีเรื่องราวให้คนนำไปพูดคุยต่อได้
- เจาะลึกไปถึงความชอบเฉพาะคน
- ทำให้เกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จ
ลองนำหลักการเหล่านี้ไปปรับใช้กับงานของคุณดูนะคะ เช่น เอาไปพัฒนาโปรดักต์ แตกไลน์สินค้าใหม่ ออกแบบ UX ให้คนติด และด้านอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้งานของคุณประสบความสำเร็จ เข้าไปอยู่ในใจของผู้คนได้เหมือนกับ Netflix