คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมโฆษณาออนไลน์บางตัวที่ใช้งบประมาณเท่ากัน มีเทคนิคเหมือนกันลงในช่องทางคล้ายๆ กันแต่ผลลัพธ์แตกต่างกัน แคมเปญบางตัวได้ผลลัพธ์ดีเป็นสิบเท่า แต่บางตัวกลับได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่คาดหวัง
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกัน?
คำตอบก็คือ “Strategy” หรือกลยุทธ์การวางแผนโฆษณาออนไลน์นั่นเองและในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับการสร้างแผนโฆษณาออนไลน์ทีละขั้นตอนว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ถ้าคุณสนใจเรียนรู้การทำ Digital Advertising ทาง Content Shifu มีคอร์สเรียน Facebook Ads Certification และ Google Ads Certification ให้คุณไปศึกษาเพิ่มเติม เรียนรู้ตั้งแต่ระดับ Basic จนถึง Intermediate พร้อมรับใบ Certification ของ Content Shifu หลังเรียนจบ
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
- แผนการโฆษณาออนไลน์คืออะไร
- ขั้นตอนการวางแผนซื้อโฆษณาออนไลน์
- 5 องค์ประกอบสำคัญบนโฆษณาออนไลน์
- สรุป
แผนการโฆษณาออนไลน์คืออะไร
แผนการโฆษณาออนไลน์หรือ Digital Advertising Strategies คือการวางแผนหรือวางกลยุทธ์ของแบรนด์ว่าต้องการสื่อสาร สินค้าหรือบริการอะไร กับใคร บนช่องทางออนไลน์ไหน เพื่อวัตถุประสงค์อะไร ภายใต้จำนวนเงินเท่าไหร่ เพื่อให้โฆษณาที่แบรนด์เผยแพร่ออกไปนั้นบรรลุเป้าหมายของแบรนด์
สิ่งสำคัญที่แบรนด์จะต้องรู้จักก่อนการยิงโฆษณานั้นก็คือ ขั้นตอนการวางกลยุทธ์ซึ่งประกอบไปด้วย
- การรู้จักแบรนด์ของตัวเอง (Understand your Business)
- การรู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง (Understand your Customer)
- การกำหนดวัตถุประสงค์ (Defined Advertising Goals)
- การเลือก Framwork มาช่วยวางแผนในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Define Framework)
- การกำหนดงบประมาณ (Budget)
- การกำหนดช่องทางในการทำโฆษณาออนไลน์ (Select Media Channels)
- การวัดผลงานของโฆษณา (Report and Evaluate Performance)
บทความนี้จะพาไปรู้จักกับขั้นตอนที่จะช่วย ให้แบรนด์สามารถซื้อพื้นที่และเผยแพร่โฆษณาบนช่องทางออนไลน์ได้
สำหรับคนที่อยากรู้จักการวางกลยุทธ์หรือ Digital Marketing Strategy แบบภาพรวม ทั้งในรูปแบบ Organic และ Paid สามารถไปทำความเข้าใจทีละขั้นตอนอย่างละเอียดได้ในบทความ Digital Marketing Strategy คืออะไร
ขั้นตอนการวางแผนซื้อโฆษณาออนไลน์
สำหรับในบทนี้ จะพูดเรื่องการรู้จักแบรนด์และรู้จักกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว เพราะว่าจะเจาะลึกกับกลยุทธ์ที่แบรนด์สามารถเลือกใช้เพื่อส่งโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายได้ มาเริ่มเลย
การรู้จักแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย (Know Your Business and Customer)
เป็นขั้นตอนแรกเริ่มที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องรู้จักก่อนการวางแผน นั่นก็คือการรู้จักแบรนด์ของตัวเองว่า แบรนด์กำลังขายสินค้าและบริการประเภทไหน ขายให้ลูกค้ากลุ่มไหนบ้าง โดยสามารถวิเคราะห์ธุรกิจผ่านโมเดล 2 ตัวนั่นคือ Business Canvas Model ที่เป็นรูปแบบตาราง 8 ช่องเพื่อวิเคราะห์ธุรกิจโดยภาพรวมและ SWOT Analysis ตาราง 4 ช่องที่ช่วยแบรนด์วิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย รวมไปถึงโอกาสและข้อท้าทายที่แบรนด์อาจจะเจอในอนาคต
หลังจากแบรนด์รู้จักตัวเองอย่างละเอียดแล้วขั้นตอนหลังจากนี้คือ รู้จักและกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการสื่อสารผ่านโฆษณาอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยการใช้โมเดลที่เรียกว่า Customer Persona หรือรูปแบบลูกค้าจำลองเพื่อทำความเข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น
ซึ่งรายละเอียดภายใน Customer Persona จะประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้
- ข้อมูลพื้นฐานหรือ Demographic เช่น อายุ เพศ การศึกษา อาชีพ เป็นต้น
- เป้าหมาย / ปัญหา / ความสนใจ เช่น งานอดิเรก สิ่งที่ชอบ/สิ่งที่ไม่ชอบ ความสนใจ เป็นต้น
- พฤติกรรมและช่องทางออนไลน์ของเขา เช่น ช่องทางออนไลน์ที่เขาเลือกใช้หาสินค้าและบริการ เพื่วิเคราะห์ช่องทางที่แบรนด์ควรเลือกใช้
- สิ่งที่เป็นความสนใจของกลุ่มลูกค้า
การกำหนดวัตถุประสงค์แผนโฆษณาออนไลน์ (Define Advertising Goals)
หลังจากผ่านพ้นขั้นตอนแรกที่แบรนด์ต้องวิเคราะห์ตัวธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว มาถึงขั้นตอนต่อไปนั่นคือ ขั้นตอนกำหนดวัตถุประสงค์ของธุรกิจว่าต้องการทำเป้าหมายอะไรให้สำเร็จลุล่วงจากการโฆษณาสินค้าและบริการนั้น โดยการกำหนดเป้าหมายผ่านการทำ SMART Goal
กำหนดวัตถุประสงค์ผ่าน SMART Goal
Fitzhugh Dodson เคยพูดไว้ว่า “ถ้าปราศจากเป้าหมายและกลยุทธ์คุณก็เหมือนเรือที่กางใบออกแบบไม่มีจุดหมาย”
เช่นเดียวกันกับการซื้อโฆษณาออนไลน์ เพราะว่าสิ่งสำคัญที่แบรนด์ควรกำหนดก็คือ เป้าหมาย ของการจ่ายเงินซื้อโฆษณาเหล่านั้นโดยที่เป้าหมายนั้นจะต้องเป็น เป้าหมายที่ประกอบไปด้วย 5 อย่างที่สำคัญคือ Specific, Measurable, Attainable, Relevant, และ Time-bound
SMART Goal นั้นมีความสำคัญกับการวางแผนซื้อโฆษณาออนไลน์เพราะว่าแบรนด์สามารถติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโฆษณาได้อย่างละเอียด และเพื่อตรวจสอบว่าโฆษณาที่ซื้อไปสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้หรือไม่ โดยที่
- Specific หรือ เป้าหมายเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป้าหมายของการทำโฆษณาออนไลน์นั้นต้องเฉพาะเจาะจง สามารถบอกได้ว่าแบรนด์จะทำอะไร
- Measurable หรือ เป้าหมายที่วัดผลได้ ซึ่งสามารถมีตัวชี้วัดออกมาเป็นรูปธรรมได้
- Attainable หรือ เป้าหมายที่จับต้องได้และเป็นจริง
- Relevant หรือ เป้าหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องไปกับแบรนด์
- Time-bound หรือ เป้าหมายที่มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
ตัวอย่างการวางแผน SMART Goal
ตัวอย่างที่ 1
สมมติว่า คุณคือเจ้าของแบรนด์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองและต้องการเพิ่มยอด Reach และยอดขายบนโฆษณา คุณสามารถกำหนด SMART Goal ออกมาได้เป็น
‘มีจำนวนคนเห็นแบรนด์ของคุณผ่านการซื้อโฆษณาบน Instagram Ads เฉลี่ย 9,000 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 – 31 มีนาคม 2565’
การตั้งเป้าหมายทางด้านบนถือเป็นการตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal จะเห็นได้การลงโฆษณาผ่าน Instagram (Specific & Relevant), การมีคนเห็นแบรนด์ของคุณ (Specific & Relevant) 9,000 ครั้งต่อเดือน (Measurable & Attainable), รวมไปถึงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 – 31 มีนาคม 2565 (Time-bound)
ตัวอย่างที่ 2
หลังจากโฆษณาตัวแรกมีผู้เข้าชมตามเป้าหมายแล้ว ต่อไปคุณต้องการเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic) ภายในสิ้นปีนี้ คุณสามารถกำหนด SMART Goal ออกมาได้เป็น
‘มีจำนวนเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณผ่านการซื้อโฆษณาบน Instagram Ads เฉลี่ย 900 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 – 31 มีนาคม 2565’
การตั้งเป้าหมายทางด้านบนถือเป็นการตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal จะเห็นได้การลงโฆษณาผ่าน Instagram (Specific & Relevant), การมีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Specific & Relevant) 900 ครั้งต่อเดือน (Measurable & Attainable), รวมไปถึงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 – 31 มีนาคม 2565 (Time-bound)
ตัวอย่างที่ 3
เป้าหมายต่อไปของคุณคือ คุณต้องการลูกค้าให้เข้ามาซื้อเสื้อผ้าบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ (Sales) ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยตัว SMART Goal จะออกมาเป็น
‘มีผู้ซื้อสินค้าของคุณผ่านการซื้อโฆษณาบน Instagram Ads เฉลี่ย 30,000 บาทต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 – 31 มีนาคม 2565’
การตั้งเป้าหมายทางด้านบนถือเป็นการตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal จะเห็นได้การลงโฆษณาผ่าน Instagram (Specific & Relevant), การมียอดขาย (Specific & Relevant) 30,000 บาทต่อเดือน (Measurable & Attainable), รวมไปถึงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 – 31 มีนาคม 2565 (Time-bound)
สรุปตรงส่วนนี้ก็คือ การที่แบรนด์หยิบยก SMART Goal มาช่วยตั้งเป้าหมายจะช่วยให้แบรนด์สามารถรู้ได้ว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้คืออะไร และถ้าแคมเปญไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แบรนด์ก็สามารถเช็คได้ว่าปัจจัยอะไรที่ส่งผลหรือมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของโฆษณา ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ปรับแก้ไขแผนการได้อย่างถูกต้อง
การเลือก Framework ในการทำแผนโฆษณาออนไลน์ (Define Framework)
ขั้นตอนต่อไปก็คือการนำ Digital Marketing Framework มาช่วยตีกรอบวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโฆษณาให้ชัดเจนและละเอียดมากยิ่งขึ้น ซึ่งในบทความนี้ Framework ที่จะถูกเอามาแนะนำได้แก่ Customer Journey, Traffic Temperature, UPSYD เป็นต้น โดยที่แบรนด์สามารถเลือก Framwork แบบใดแบบหนึ่งมาช่วยตีกรอบแผนโฆษณาให้คมชัด พร้อมส่งสารเหล่านั้นไปยังกลุ่มลูกค้าของแบรนด์
Customer Journey Framework
รูปแบบ Framwork ตัวแรกมีชื่อว่า Customer Journey ซึ่ง Framework ตัวนี้เป็นตัวช่วยนำทางให้แบรนด์สร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านการทำการตลาดบนช่องทางออนไลน์ตามลำดับขั้นตอน ตั้งแต่ Awareness, Consideration ไปจนถึง Decision
โดยที่จะประกอบไปด้วย 6 ช่วงนั่นคือ
- Awareness ช่วงที่กลุ่มเป้าหมายเริ่มมีการรับรู้ถึงแบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆ
- Consideration ช่วงที่กลุ่มเป้าหมายเริ่มพิจารณาทางเลือกต่างๆ
- Decision ช่วงที่กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ
ดังนั้นการเลือกใช้ Framework ตัวนี้กับการวางแผนโฆษณาออนไลน์ก็ช่วยให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์ช่วงเวลาของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนและละเอียด และยังช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผนแคมเปญสำหรับช่วงเวลาถัดไปได้อีกเช่นเดียวกัน
Traffic Temperature
มาถึง Framwork แบบต่อไปที่เรียกว่า Traffic Temperature โดยการเปรียบเทียบลูกค้ากับอุณหภูมิเพื่อให้แบรนด์ทำความเข้าใจว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าอยู่ตรงจุดไหนเพื่อให้ โฆษณาออนไลน์ที่เผยแพร่ออกมานั้นมีความเหมาะสมกับลูกค้ามากที่สุด
ลูกค้าใน Traffic Temperature Framework จะประกอบไปด้วยลูกค้าที่ไม่รู้จักแบรนด์ลูกค้าที่รู้จักแบรนด์และลูกค้าเต็มตัวของแบรนด์
โดยอุณหภูมิของลูกค้าจะประกอบไปด้วย 3 ระดับคือ
- Cold Temperature หรือกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์หรือสินค้าและบริการของแบรนด์โดยที่การทำโฆษณาออนไลน์กับลูกค้ากลุ่มนี้คือการแนะนำตัวเอง (Introduction) เพื่อเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าก่อนการเสนอขายสินค้าและบริการ
- Warm Temperature หรือกลุ่มลูกค้าที่มีการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์หรือมีความสนใจ แต่ยังไม่ได้สนใจในขั้นที่จะต้องทำการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งแบรนด์จำเป็นต้องเข้าหาพวกเขาโดยการใช้โฆษณาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ และชูว่าสินค้าและบริการของแบรนด์นั้นคือสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด
- Hot Temperature หรือกลุ่มลูกค้าเต็มตัวที่ได้ทำการเข้าซื้อสินค้าและบริการแล้ว โดยที่แบรนด์สามารถรักษาความสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการทำโฆษณาแบบ Retargeting ได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งในแต่ละระดับอุณหภูมิก็จะมีวิธีการสร้างแผนโฆษณาออนไลน์ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้นแบรนด์ต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายและระดับความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและลูกค้าผ่านระดับ Traffic Temperature เพื่อเพิ่มโอกาสให้แบรนด์สร้างโฆษณาที่สื่อสารกับคนที่ใช่ ในเวลาที่ใช่
UPSYD
หรืออีกชื่อภาษาไทยคือ อัปไซด์ ที่ประกอบไปด้วยพยัญชนะภาษาอังกฤษ 5 ตัว โดยที่ Framework จะให้ความสำคัญกับปัญหา (Problems) ของกลุ่มเป้าหมาย และทางแก้ (Solutions) ของแบรนด์ เพื่อที่แบรนด์จะได้ตอบปัญหาได้อย่างตรงจุดในแต่ละขั้นของ Framework
โดย UPSYD Framwork นั้นประกอบไปด้วย 5 ชั้นตอนคือ
- Unaware คือช่วงที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเผชิญกับ ‘ความไม่รู้’ ว่าพวกเขาไม่รู้อะไร โดยสารที่ควรสื่อออกไปหาพวกเขาคือ สารที่มีประโยชน์และให้ความรู้เพื่อก่อให้เกิดการตระหนักรู้
- Problem คือช่วงที่กลุ่มเป้าหมายรับรู้แล้วว่าตัวเอง ‘มีปัญหา’ และต้องการแก้ไขปัญหา แต่ไม่รู้วิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้น หน้าที่ของแบรนด์ในการสื่อสารกับลูกค้าขั้นนี้คือ การเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาและทางแก้ไข
- Solution คือช่วงที่กลุ่มเป้าหมายรับรู้ ‘ปัญหา’ และ ‘ทางแก้ไข’ ของปัญหาแล้วแต่เขาไม่รู้จักแบรนด์หรือสินค้าและบริการของแบรนด์เลย ดังนั้นแบรนด์ควรสื่อสารกับลูกค้าเพื่อให้พวกเขาหยุดการลังเลและชูสินค้าและบริการของแบรนด์ให้โดดเด่นกว่าใคร
- Your-Solution Aware คือช่วงที่กลุ่มเป้าหมาย ‘รับรู้’ ถึงสินค้าและบริการของแบรนด์ แต่ไม่มั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นทางเลือกที่ใช่หรือไม่ ดังนั้นแบรนด์ควรนำเสนอ ‘ความน่าเชื่อถือ’ ออกมา เช่น การรีวิวสินค้าและบริการจากลูกค้าคนอื่น
- Deal คือช่วงที่กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจในสินค้าและบริการมากขึ้น แต่ยังขาดการ ‘กระตุ้น’ อยู่ สารที่แบรนด์ควรสื่อออกไปคือ offer ที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
ถ้าแบรนด์ต้องทำแผนสร้างโฆษณาออนไลน์เพื่อสื่อสารให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้น การเลือกนำ Framework แบบ UPSYD หรืออัปไซด์มาร่วมใช้งานออกแบบโฆษณานับว่าเป็นอีกทาง เลือกที่ดีต่อแบรนด์
หรือถ้าอยากรู้จักการทำ UPSYD แบบเจาะลึก ก็สามารถเข้าไปศึกษาบทความของเราได้ เพื่อช่วยคุณเลือก Message ให้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ทั้ง 3 Framework ที่กล่าวมานั้นมีจุดเด่นและแนวคิดที่แตกต่างต่างกัน แต่ล้วนมีประโยชน์สำหรับแบรนด์ในการวางแผนให้ละเอียดและรู้ว่ากำลังสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในช่วงระยะไหน เพื่อให้โฆษณาออนไลน์ออกมาได้ตรงใจ และไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง
ในขั้นตอนของการวางแผนงบประมาณการซื้อโฆษณาขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนาดของบริษัท งบประมาณที่มี ช่องทางที่ต้องการเผยแพร่โฆษณาและอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นในส่วนนี้แบรนด์จำเป็นต้องวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านั้นเพื่อหางบประมาณที่เหมาะสมที่สุดในการทำโฆษณาและวางเป้าหมายไว้ว่าภายใต้งบปประมาณเหล่านี้ จะต้องได้อะไรตอบแทนกลับมาบ้าง
กำหนดช่องทางทำโฆษณาออนไลน์ (Select Paid Media Channels)
โฆษณาออนไลน์ที่ลงในช่องทางที่ต่างกัน อาจจะได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเลือกช่องทางการทำโฆษณาออนไลน์ กำหนดพื้นที่ว่าพื้นที่ไหนบ้างที่มีกลุ่มเป้าหมาย ของแบรนด์อยู่ หรือพื้นที่ไหนที่พวกเขามีโอกาสมองเห็นโฆษณาของแบรนด์
ซึ่งแบรนด์ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้ช่องทาง เดียวสำหรับ 1 แคมเปญ เพียงแค่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับช่องทางแต่ละช่องทางว่าควรใช้โฆษณารูปแบบไหน มีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไร เหมาะสมกับสินค้าและบริการของแบรนด์มากน้อยแค่ไหน
ช่องทางยอดฮิตที่แบรนด์นิยมใช้กระจายโฆษณาของตัวเองมีประมาณ 10 พื้นที่ ได้แก่
- Facebook Ads
- Instagram Ads
- Twitter Ads
- LinkedIn Ads
- Tiktok Ads
- LINE Ads Platform (LAP)
- Google Ads
- Youtube Ads
- Shopee Ads
- Lazada Ads
โดยที่คุณสามารถเข้าไปอ่านบทความ 10 ช่องทางโฆษณาออนไลน์ พร้อมจุดเด่น-จุดด้อย พร้อมวิธีการทำงานของแต่ละตัวอย่างละเอียด สามารถเข้าไปปศึกษาและทำความรู้จัก พร้อมชมหน้าตาทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านของ Platform เหล่านั้นได้
5 องค์ประกอบสำคัญบนโฆษณาออนไลน์
รูปแบบของโฆษณานั้นไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง หรือ ภาพเคลื่อนไหว ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเพราะต่างก็มีจุดประสงค์เพื่อที่จะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ อ้างอิงจาก Digitalmarketer.com ว่าภายในโฆษณาแต่ละชิ้น แต่ละประเภทนั้นจะประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญคือ ข้อเสนอ, ข้อความ, ความสร้างสรรค์, ความเชื่อมโยง, และกลุ่มเป้าหมาย
ข้อเสนอต่อกลุ่มเป้าหมาย (Offer)
องค์ประกอบแรกคือ ข้อเสนอ ที่แบรนด์ต้องขายสิ่งนี้ออกไปพร้อมกับโฆษณาของสินค้าและบริการของ
แบรนด์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกต้องการที่จะสร้าง action กับโฆษณานั้น โดยข้อเสนอเหล่านี้อาจจะ เป็นอะไรที่แบรนด์สามารถเสนอให้ลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง
- ทดลองฟรี
- การขนส่ง เช่น ส่งฟรี หรือ อัพเกรดระดับขนส่งฟรี
- ราคา เช่น 1 แถม 1 หรือลด 30%
ยิ่งยื่นข้อเสนอที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคุ้มค่าและชูแบรนด์ให้โดนเด่นกว่าใคร โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะตัดสินใจซื้อหรือทำอะไรบางอย่างที่คุณอยากให้ทำก็จะมีมากขึ้น
ข้อความในโฆษณา (Copy)
องค์ประกอบที่สองของโฆษณาคือ ข้อความ หรือ Copy บนตัวโฆษณานั่นเอง โดยที่ข้อความในที่นี้คือ Message ที่แบรนด์ต้องการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา และ Message นี้ควรจะชัดเจนและโน้มน้าวเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคล้อยตามไปกับโฆษณา
โดยที่แบรนด์สามารถเสนอ Copy ในรูปแบบของการชี้ให้กลุ่มเป้าหมายเห็นถึงปัญหาที่เขากำลังเผชิญและต่อด้วยการเสนอ Offer ของแบรนด์เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่พวกเขากำลังเจอ
ตรงส่วน Message ที่แบรนด์นี้เลือกใช้คือหยิบยกปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเจอ คือ ‘ความสนใจใน Data Science แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน’ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายในสิ่งที่พวกเขากำลังมีความสนใจ พร้อมกับเสนอ Offer เพื่อแก้ไขปัญหานั่นคือ แบรนด์จะช่วยเหลือว่าสามารถเริ่มที่ไหนและต้องเรียนอะไรเพื่อเพิ่มความสามารถ
ความสร้างสรรค์ของโฆษณา (Creative)
องค์ประกอบต่อมาของโฆษณาคือ ความสร้างสรรค์ ของโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบภาพนิ่ง วิดีโอ การนำเสนอ หรือแบบ carousel ก็ตามล้วนต้องสามารถบอกใบ้ให้กลุ่มเป้าหมายเห็นภาพเกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์ หรือก็คือ Graphic บนโฆษณานั่นเอง
การใส่ Graphic ลงไปในโฆษณามีส่วนช่วยให้ Copy ของโฆษณานั้นสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการช่วยวาดภาพให้กลุ่มเป้าหมายมองโฆษณาได้ชัดมากยิ่งขึ้น รวมถึง Graphic เหล่านั้นยังสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของแบรนด์ได้อีกเช่นเดียวกัน
คุณสามารถทำความรู้จักการสร้าง Brand Identity ที่ผสมผสานระหว่าง Branding และ Design เพื่อช่วยสื่อสารความเป็นแบรนด์ต่อกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ความเชื่อมโยงของโฆษณา (AdScent)
องค์ประกอบที่สี่คือ ความเชื่อมโยง ของโฆษณา การที่จะช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้คล้อยตามกับโฆษณานั้น แบรนด์ต้องสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโฆษณาและปลายทางที่จะส่งกลุ่มเป้าหมายไป หลังจากกลุ่มเป้าหมายสร้าง Action เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน หรือโอกาสสูญเสียลูกค้าไป
โดยแบรนด์สามารถเริ่มจากการสร้างโฆษณาออกมาชิ้นหนึ่งและใส่ CTA (Call to Action) เพื่อส่งกลุ่มเป้าหมายไปยังหน้าเว็บไซต์ โดยที่หน้า Landing page นั้นจะต้องเป็นจุดหมายเดียวกันกับบนโฆษณา ถ้าโฆษณาขายรองเท้าผ้าใบ รุ่น A ตัว Landing page ที่จะส่งกลุ่มเป้าหมายไปก็ต้องเป็นหน้าของรองเท้าผ้าใบ รุ่น A เพื่อป้องกันความสับสน
การกำหนดเป้าหมาย (Targeting)
องค์ประกอบสุดท้ายของการทำโฆษณาคือ การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ แทบจะมากที่สุดในการทำโฆษณา เพราะหัวใจของการทำโฆษณาคือการส่ง ‘สาร’ ที่ใช่ไปหา ‘คน’ ที่ใช่ใน ‘เวลา’ ที่ใช่ ต่อให้องค์ประกอบ 4 อันที่ผ่านมาจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ถ้าส่งไปหาคนที่ไม่ใช่ คนที่ต้องการรับสารอย่างแท้จริง เป้าหมายของการทำโฆษณาก็จะไม่ประสบผล
ดังนั้นแบรนด์ต้องวางแผนกำหนดกลุ่มลูกค้าและวิธีสื่อสารกับพวกเขาอย่างรอบคอบและชัดเจนก่อนจะทำการปล่อยโฆษณาออนไลน์ออกไป
ถ้าคุณสนใจเรียนรู้การทำ Digital Advertising ทาง Content Shifu มีคอร์สเรียน Facebook Ads Certification และ Google Ads Certification ให้คุณไปศึกษาเพิ่มเติม เรียนรู้ตั้งแต่ระดับ Basic จนถึง Intermediate พร้อมรับใบ Certification ของ Content Shifu หลังเรียนจบ
สรุป
การสร้างแผนโฆษณาออนไลน์นั้นสิ่งสำคัญคือการรู้จักตัวเองว่าคือใคร ขายสินค้าและบริการอะไร มีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไร รวมไปถึงการรู้จักผู้ฟังหรือผู้รับสารอย่างดีเพื่อให้โฆษณาถูกส่งออกไปอย่างแม่นยำและไม่คลาดเคลื่อน
แบรนด์จำเป็นต้องวางเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการซื้อโฆษณาอย่างชัดเจน จับต้องและวัดผลได้ และใช้ประโยชน์จาก Framework หลายรูปแบบเพื่อย้ำวัตถุประสงค์ ความสัมพันธ์กับลูกค้า และสารที่ต้องการสื่อออกไปให้คมชัดมากขึ้น พร้อมกับเลือกช่องทางในการทำโฆษณาออนไลน์และสร้างโฆษณาออนไลน์ภายใต้องค์ประกอบ 5 ข้อที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้คือขั้นตอนที่แบรนด์ควรวิเคราะห์เพื่อสร้างโฆษณาออนไลน์ชิ้นเอกออกมาสื่อสารกับลูกค้า
ในบทความต่อไป เราจะพาคุณไปรู้จักกับตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Metrics) ของโฆษณาออนไลน์เหล่านี้กัน