ในปัจจุบัน คนทุกคนมีทางเลือกในการซื้อของมากขึ้น

เมื่อก่อนถ้าคุณอยากได้ของอะไรสักอย่าง คุณอาจจะต้องไปเดินห้าง หรือไปตลาดนัดเพื่อเลือกซื้อ เลือกช๊อปของ แต่เดี๋ยวนี้คุณแค่หยิบมือถือขึ้นมา แล้วค้นหาผ่านอากู๋ Google เพียงแค่ไม่กี่วินาที คุณก็เจอของที่คุณต้องการแล้ว

การขายถูกโอนเปลี่ยนเวียนถ่ายจากช่องทาง Offline มายังช่องทาง Online เยอะขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

และเมื่อพูดถึงการขายของบนโลกออนไลน์ที่ไม่เห็นหน้าค่าตากันแล้ว ศาสตร์ที่เรียกได้ว่าสำคัญมากถึงมากที่สุดเลยก็คือ “ศาสตร์แห่งการเขียน”

เขียนยังไงให้ลูกค้าชอบ?

เขียนยังไงให้ลูกค้าพอใจ?

และเขียนยังไงให้ลูกค้าซื้อ?

วันนี้ผมมีเคล็ด(ไม่)ลับมาแชร์ครับ

ลองอ่าน “4P” เคล็ด(ไม่)ลับในการเขียนเพื่อเพิ่มยอดขายขึ้น 123%! ดู ถ้าอ่านบทความนี้จบ และเอาไปปรับใช้กับ Landing Page บนเว็บไซต์, Status บน Facebook หรือ Platform อะไรก็แล้วแต่ที่คุณต้องเขียนเพื่อขาย ผมรับรองว่าคุณจะเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นแน่นอน : )

Shifu แนะนำ
จริงๆ แล้วตัวเลข 123% ในชื่อบทความนั้นเป็นตัวเลขที่ตั้งขึ้นมาให้มันดูน่าสนใจเฉยๆ (ตามหลัก 7 วิธีในการตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจจนคนต้องกดอ่าน ฮ่าๆ) ในความเป็นจริงตัวเลขมันไม่ได้เป๊ะๆ อย่างนี้หรอก แต่รับรองว่าถ้าเอาไปปรับใช้คุณจะเขียนแล้วขายได้ดีกว่าเดิมแน่ๆ

คอนเซปท์ 4P นี่ไม่ได้เป็นคอนเซปท์ที่ผมคิดขึ้นมาเองนะครับ แต่เป็นเทคนิคที่ถูกกล่าวถึงทั่วไปตามอินเทอร์เน็ต (คล้ายๆ กับ 4P – Product, Price, Place และ Promotion ที่เป็น Marketing Mix)

เขียนเพื่อเพิ่มยอดขายด้วยเทคนิค 4P

ก่อนที่เราจะไปกันต่อ ผมอยากให้คุณลืม 4P ที่เป็นส่วนผสมทางการตลาดอย่าง Product, Price, Place และ Promotion ไปก่อนนะ เพราะว่า 4P ที่ผมกำลังจะเขียนถึงนั้นเป็นคนละเรื่องกันเลย : )

P ที่ 1: Promise

สัญญาคือสิ่งที่มีค่า และมันจะยิ่งมีค่ากว่าเดิมถ้าคุณทำได้ตามสัญญา

ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนอะไรสักอย่าง ผมเชื่อว่าคุณต้องคิดมาก่อนแล้วแน่ๆ ว่าของที่คุณจะขายนั้น จะให้คุณค่าอะไรกับผู้อ่าน คำสัญญานั้นเป็นเหมือนคำตอกย้ำให้ผู้อ่านได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณกำลังจะขายได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และการสัญญานั้นจะใช้ได้ดีมากๆ ในตอนเกริ่นนำในช่วงแรก เพราะมันจะบอกให้รู้ว่าคนที่อ่านนั้นรู้ว่า ถ้าเขาเลื่อนลงไปอ่านต่อ (หรือถ้าเขาตัดสินใจของคุณ) เขาจะได้พบเจอกับอะไร

ป.ล. สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่คุณห้ามลืมก็คือว่า สัญญาที่มีค่าจะไร้ค่า ถ้าคุณไม่สามารถทำได้ตามสัญญานะครับ

Shifu แนะนำ
ตัวอย่างทุกตัวอย่างในบทความนี้ ผมจะยกตัวอย่างผ่านหน้า Landing Page ของ SumoMe นะครับ เพราะผมรู้สึกว่า SumoMe ทำได้ครบทั้ง 4P เลย

มาดูตัวอย่างของ P ตัวแรก Promise กันก่อนเลยดีกว่า

sumome-promise

SumoMe สัญญาว่าถ้าคุณใช้เครื่องมือของเขา คุณจะได้ Traffic เข้าเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และที่สำคัญเครื่องมือของเขายังสามารถใช้ได้กับเว็บไซต์ทุกรูปแบบด้วยนะ

อีกประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็คือ SumoMe ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการที่บอกว่าสินค้าของเขาทำอะไรได้บ้าง (มีฟีเจอร์อะไรบ้าง) แต่เริ่มด้วยการบอกว่าสินค้าของเขาทำอะไรให้คุณได้บ้าง

P ที่ 2: Picture

หลังจากที่สัญญาแล้ว สิ่งที่คุณต้องทำในขั้นถัดไปก็คือทำให้คนที่จะซื้อเห็นภาพ ทำให้เขาเห็นว่าก่อนซื้อ และหลังซื้อเป็นยังไง ซื้อแล้วชีวิตจะดี๊ดีขึ้นแค่ไหน

การทำให้เห็นภาพนั้น ถ้าคุณเก่งเรื่องการเขียนบรรยาย หรือพรรณนาแบบในนิยายจีนกำลังภายใน แค่การเขียนก็อาจจะทำให้คนที่อ่านอยู่เห็นภาพแล้ว แต่ถ้าคุณเขียนไม่เก่ง การใช้รูปช่วยอธิบายจะทำให้คนที่จะซื้อของของคุณนั้นเข้าใจได้มากขึ้น หรือถ้าจะให้ดีที่สุด ทำมันเป็นวีดีโอไปเลย

Shifu แนะนำ

sumome-picture

มาดูตัวอย่างของ SumoMe เหมือนเดิมนะครับ เรายังคงอยู่ในหน้าเดิม (ถ้าคุณยังไม่ได้เปิดเว็บไซต์ของ SumoMe คลิกที่นี่เพื่อดูตามไปด้วยก็ได้ครับ) ซึ่งถ้าคุณเลื่อนลงมานิดนึง คุณจะเห็นคำว่า “See how it works” แล้วใต้คำนั้นจะมีรูปตัวอย่างหลังจากที่คุณติด SumoMe บนเว็บไซต์ของคุณแล้ว โดยจากตัวอย่างข้างบนนี้ SumoMe จะทำให้คุณเห็น Heat map ว่าคนเลื่อนเมาส์ หรือคนคลิ๊กดูส่วนไหนของเว็บไซต์คุณบ้าง

เป็นไงบ้างครับ? ในตอนแรกที่คุณเห็นคำสัญญาว่า คุณจะได้ Traffic เข้าเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น คุณอาจจะยังไม่ตื่นเต้นตกใจสักเท่าไหร่ พอเห็นรูปที่บอกว่าเครื่องมือนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง มันทำให้คุณอยากซื้อมากขึ้นรึยังครับ?

ถ้ายัง ตามไปดูขั้นตอนที่ 3 เลยครับ

P ที่ 3: Proof

เมื่อสัญญา และการกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างนั้นยังคงไม่สามารถโยกคลอนจิตใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผาได้ ก็ถึงเวลาที่ต้องมีตัวช่วยอีกสักเล็กน้อย

ตัวช่วยในครั้งนี้คือหลักฐาน และการพิสูจน์ครับ P ตัวนี้จะเป็นตัวที่บอกว่าของคุณเจ๋ง ของคุณดี ใครๆ ก็ใช้กัน โดยปกติแล้วสิ่งที่จะเอามาใช้เป็นตัว Proof นั้นมีอยู่ 2 อย่างครับ อย่างแรกเลยก็คือบริษัทที่เคยใช้ของของคุณ และคนที่เคยใช้งานของคุณ (Testimonial)

Shifu แนะนำ
sumome-proof

ในเคสของ SumoMe นั้น เขาเลือกใช้ทั้ง 2 อย่างเลยครับ อย่างแรกเลยก็คือ SumoMe เลือกโชว์ลูกค้าที่ใช้ (หรือเคยใช้) บริการของ SumoMe จะเห็นได้ว่ามีแบรนด์ดังที่เรารู้จักกันดีอย่าง airbnb เป็นลูกค้าด้วย

sumome-proof-2

อย่างที่สองเลยก็คือ User Review ที่มาจากคนจริงๆ ที่ใช้งานจริงๆ และพอใจสินค้าจริงๆ ซึ่งจากตัวอย่าง คุณ Justin Kerby นั้นบอกว่าหลังจากที่ลองใช้ SumoMe แล้ว ก็ไม่อยากจะกลับไปใช้ตัวอื่นๆ อีกเลย

เป็นไงบ้างครับ? เริ่มรู้สึกอยากใช้ SumoMe กันขึ้นมาบ้างรึยัง ถ้ายัง มาดู P ตัวสุดท้ายดูว่าจะกระตุ้นให้คุณใช้ได้มั้ย : )

P ที่ 4: Push

หลังจากที่พยายามกระตุ้น และโน้วน้าวให้คนเชื่อว่าของของคุณดีจริง และมันน่าซื้อ ก็ถึงเวลาที่จะต้องกระตุ้นให้เขาเกิด Action อะไรบางอย่าง

การ Push นั้น อาจจะเริ่มด้วยการสรุปทุกอย่างที่คุณโน้มน้าวมาแล้วค่อยตบด้วยปุ่ม Call to action ที่เห็นได้ชัด พร้อมคำพูดที่เขียนว่า “ซื้อเลย”, “ดาวน์โหลดเลย” หรือ “รับส่วนลด 20% ตอนนี้เลย” จะเป็นเหมือนตัวกระตุ้นชั้นดีทำให้คนที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะซื้อ หรือไม่ซื้อดี ตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ

Shifu แนะนำ

sumome-push

ในเคสของ SumoMe นั้น เขากระตุ้นด้วยคำว่า “Ready to Get 20% More Traffic?” จากนั้นก็ตบท้ายด้วยปุ่มใหญ่ๆ ชัดๆ ว่า “TRY IT FREE” หรือว่าทดลองเลย

ของเจ๋งๆ มีบริษัทดีๆ ใช้มากมาย แถมยังทดลองใช้ฟรีอีก ใครจะไม่อยากลอง จริงไหมครับ? : )

สรุป

ถ้าคุณเคยอ่านบทความก่อนหน้านี้ของ Content Shifu ผมเชื่อว่าคุณน่าจะรู้สึกคุ้นๆ กับแพทเทิร์นประมาณนี้นะ เพราะ Content Shifu เองก็ใส่ P ทั้ง 4 ตัวลงไปในในแทบทุกๆ บทความ (เรากำลังขายเนื้อหา ส่วนคุณกำลังซื้อเนื้อหาอยู่ และบทความของพวกเราก็ขายดีในระดับนึงนะ ฮ่าๆ)

บทความนี้ก็เช่นกัน ถ้าลองกลับไปอ่านดู จะเห็นว่าผมสัญญา (Promise) โดยการใช้คำว่า “รับรอง” กับคุณว่าถ้าคุณอ่านบทความนี้จบ คุณจะขายได้ดีขึ้น จากนั้นก็โชว์ตัวอย่างให้เห็นภาพ (Picture) โดยใช้เครื่องมืออย่าง SumoMe เป็นตัวพิสูจน์ (Proof) จากนั้นผมก็จะจบบทความนี้ด้วย Push อย่างคำว่า “ตาคุณแล้ว” เพื่อให้คุณมาพูดคุยกับผมต่อในส่วนของคอมเมนต์ครับ : )

ตาคุณแล้ว

คุณได้เคยใช้เทคนิคไหนใน 4P นี้บ้างไหมครับ? ใช้แล้วได้ผล ไม่ได้ผลยังไง มาคุยกันต่อในคอมเมนต์โลดด