ยาวไปอยากเลือกอ่าน
Disavow Link คืออะไร
Disavow link คือ กระบวนการที่เจ้าของเว็บแจ้งไปที่ Google ว่า ลิงก์ใดเป็น Bad Backlink และขอให้ Google ไม่นำลิงก์นั้นมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาอันดับบนผลการค้นหา
Bad Backlink ส่งผลเสียต่อ SEO มันอาจเป็นสาเหตุของการที่อันดับผลการค้นร่วงหล่นอย่างมีนัยยะสำคัญ หากคุณสันนิษฐานว่า Bad Backlink กำลังทำร้ายผลลัพธ์เรื่อง SEO ของเว็บคุณ Disavow Link คือหนึ่งในเครื่องมือที่แก้ปัญหาให้คุณได้
ควรทำ Disavow Link เมื่อไหร่?
1. เมื่อได้รับแจ้งเรื่อง Manual Action
หนึ่งในสถานการณ์ที่คุณควรทำ Disavow Link คือ ได้รับแจ้งเรื่อง Manual Action
Manual Action คือ ข้อความที่ Google Search Console แจ้งถึงเจ้าของเว็บไซต์ โดยเนื้อหาในข้อความคือแนวทางปฏิบัติที่ Google เห็นว่า หากเจ้าของเว็บดำเนินการตาม จะช่วยให้อันดับผลการค้นหาดีขึ้น
หากเว็บไซต์คุณได้รับ Manual Action ในหัวข้อว่า “Unnatural links to your site” ก็ถึงเวลาที่จะทำ Disavow link แล้วครับ
2. Organic Traffic & Keyword Ranking ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
หากเว็บไซต์ของคุณพบปัญหา ปริมาณ Organic Traffic & Keyword Ranking ลดลงอย่างฮวบฮาบ สาเหตุอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลง Google Algorithm จนส่งผลเสียต่อเรื่อง SEO ของเว็บไซต์
และหนึ่งในปัจจัยที่กูเกิ้ลอัลกอริทึ่มนำมาพิจารณาคือ เว็บไซต์มี Bad Backlink จำนวนมาก ดังนั้น Disavow Link จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่แก้ปัญหาดังกล่าว
3. จำนวน Bad Backlink เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อคุณตรวจพบว่า เว็บไซต์คุณมีปริมาณ Bad Backlink เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ยังไม่ส่งผลเสียอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่ Bad Backlink ก็เหมือนระเบิดเวลาที่อาจสร้างความเสียหายในอนาคต ดังนั้นการทำ Disavow Link ก็ช่วยลดความเสี่ยงจาก Bad Backlink ได้ครับ
หากไม่มีการแจ้ง Manual Action ทำ Disavow Link ดีไหม?
หนึ่งในประเด็นที่นัก SEO ทั้งไทยและเทศมีข้อถกเถียงกันมานานคือ หากเว็บคุณมี Bad Backlink จำนวนมาก แต่ไม่ได้รับข้อความ Manual Action จำเป็นต้องทำ Disavow Link หรือไม่
โดยความเห็นเรื่องนี้แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกคือ หากไม่ได้รับความ Manual Action ก็ไม่ต้องทำ Disavow Link ฝ่ายสองคือ แม้ไม่ได้รับข้อความ Manual Action แต้ถ้าตรวจพบว่ามี Bad Backlink จำนวนมาก การทำ Disavow File ก็เป็นสิ่งจำเป็น
เรามาดูเหตุผลของแต่ละฝ่ายกันดีกว่าครับ
ฝ่ายแรก หากไม่ได้รับข้อความ Manual Action ก็ไม่ต้องทำ Disavow File
เหตุผลของฝ่ายแรกคือ เนื่องด้วย Google บอกเองว่า Disavow Link ให้ทำเมื่อมี Manual Action เกิดขึ้นเท่านั้น เมื่อกูเกิ้ลบอกเอง นัก SEO ก็ควรยึดถือตามนั้น มิใช่หรือ
ซึ่งกูเกิ้ลได้แนะนำเรื่องการทำ Disavow ใน Google Offical Website ตามรูปข้างล่าง
หากแปลเป็นไทยโดยสรุป ประมาณว่า ให้ทำ Disavow File เมื่อมีการแจ้ง Manual Action ไปที่เว็บไซต์ของเราเท่านั้น
ฝ่ายสอง แม้ไม่ได้รับข้อความ Manual Action แต่ถ้าพบ Bad Backlink จำนวนมาก ก็ควรทำ Disavow File
เหตุผลของฝ่ายนี้คือ จากประสบการณ์จริง แม้จะไม่ได้ข้อความ Manual Action แต่การทำ Disavow File หลังจากการตรวจพบ Bad Backlink จำนวนมากนั้น มักนำมาซึ่งผลลัพธ์ทาง SEO ที่ดี
โดยข้อมูลจาก Ahrefs ผู้เชี่ยวชาญ SEO ต่างประเทศหลายคน ได้เคยแสดงความเห็นเรื่อง Disavow File ดังรูปข้างล่าง
ความเห็นของผู้เขียน
โดยส่วนตัว ผมสนับสนุนฝ่ายสอง คือ ควรทำ Disavow Link แม้จะไม่มีการแจ้งข้อความ Manual Action ก็ตาม
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เมื่อเว็บไซต์ที่ผมดูแล เกิดสถานะการณ์ Organic Traffic ลดลงอย่างรวดเร็วและฮวบฮาบ แล้วตรวจพบว่ามีปริมาณ Bad Backlink จำนวนมาก ผมจะทำ Disavow Link ทันที
ผลลัพธ์คือ 60% ของเว็บไซต์ที่ Disavow Link เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 เดือน กราฟปริมาณ Organic Traffic เปลี่ยนจากแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง (Downward Trend) กลับมาเป็น แนวโน้มเพิ่มขึ้น (Upward Trend) อีกครั้ง
ส่วนอีก 40% แม้ ปริมาณ Organic Traffic จะไม่กลับมาเพิ่มขึ้น แต่ก็เปลี่ยนจาก Downward Trend เข้าสู่ภาวะ Side Way
สรุปคือ จากประสบการณ์ หากเราทำ Disavow Link อย่างถูกต้อง โดยพื้นฐานจะไม่ทำให้ผลลัพธ์ทาง SEO แย่ลงกว่าเดิม ส่วนจะดีขึ้นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและองค์ประกอบอื่นด้วยครับ
ขั้นตอนการทำ Disavow Link
1. ตรวจสอบ Backlink ของเว็บไซต์
ขั้นตอนแรก คือ ตรวจสอบว่า เว็บไซต์เรามี Backlink อะไรบ้าง โดยเครื่องมือตรวจสอบ Backlink ที่นิยมมีดังนี้
Backlink Tool (Free)
- Google Search Console
Backlink Tool (Paid)
โดยบทความนี้ จะขอใช้ Google Search Console เพราะนอกจากฟรีแล้ว ยังให้ข้อมูลที่แม่นยำอีกด้วย
ขั้นตอนตรวจสอบ Backlink ด้วย Google Search Console
- เข้า Google Search Console
- ไปที่เมนู Link จะปรากฏ Backlink ของเว็บไซต์ตามรูป
- ไปที่เมนู “Top linking sites” เพื่อดูข้อมูล Backlink ทั้งหมด
2. ระบุ Bad Backlink
หลังจากขั้นตอนแรก ไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องมือใด ผลที่ได้รับ คือ รายชื่อ Backlink ทั้งหมดของเว็บไซต์
ขั้นสองคือ ไล่พิจารณารายชื่อ Backlink แล้วระบุว่า รายใดเข้าข่ายเป็น Bad Backlink
ความเห็นส่วนตัวผม ลักษณะของ Bad Backlink ประกอบด้วย 3 อย่างดังนี้
- สร้าง Do Follow Link จากหลายเว็บเพจ เป็นจำนวนมากผิดปกติ
- เป็นเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บเราอย่างสิ้นเชิง
- เนื้อหาของเว็บไซต์มีลักษณะ Low-quality Content
ตัวอย่าง Bad Backlink
เพื่อให้คุณเห็นภาพตัวอย่าง Bad Backlink ผมขอยกตัวอย่างจากการทำ Disavow Link ของ Shifu ดังนี้
- เข้า Google Search Console >> เมนู Link
- คลิกที่หน้าต่าง “Top linking sites”
- ไล่พิจารณารายชื่อ Backlink สะดุดตาเว็บไซต์หนึ่ง ที่มีการทำลิงก์มายัง Shifu มากถึง 320 ลิงก์
- คลิกเข้าดูรายละเอียดเพิ่ม ขึ้นพบว่า เป็นลักษณะสร้าง Do Follow link จากหลายเว็บเพจ เป็นจำนวนมากผิดปกติ (ตามรูปข้างล่าง) จึงเข้าเกณฑ์การเป็น Bad Backlink
- ตรวจสอบต่อ โดยเข้า Homepage ของเว็บต้องสงสัย พบว่าเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับ Content Shifu เท่าไหร่นัก
- เมื่อลองเข้าดูแต่ละคอนเทนต์ มีลักษณะ Low Quality Content คือ เนื้อหาสับสนอลหม่าน ตัวหนังสือกับภาพถูกจัดวางอย่างไม่เป็นระเบียบ อ่านเข้าใจยากมาก (ตามรูปข้างล่าง)
- สรุปคือ เว็บดังกล่าว มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบ จึงถือเป็น Bad Backlink ครับ
3. รวบรวม Bad Backlink
ขั้นต่อมาคือ ให้ไล่พิจารณา Backlink ทั้งหมด หรือ เยอะที่สุดตามเวลาที่มี แล้วแยกรายชื่อ Bad Backlink ออกมารวบรวมไว้ใน Spreadsheet
4. สร้าง Disavow File
หลังจากที่รวบรวม Bad Backlink ครบ ขั้นตอนต่อมาคือ นำ Bad Backlink ทั้งหมดมาใส่ใน Disavow File
Disavow File คือ ไฟล์ที่ระบุรายชื่อ Bad Backlink โดยกูเกิ้ลกำหนดว่า ต้องเป็นไฟล์ข้อความชนิด .txt และ Encoding ในแบบ UTF-8
ลักษณะของ Disavow File
1. การระบุ Bad Backlink สามารถทำได้ 2 รูปแบบ
ระบุ URL
- รูปแบบข้อความ : ขึ้นต้นด้วย URL ที่ต้องการปฏิเสธ 1 รายการต่อ 1 บรรทัด
- ความหมาย : แจ้ง Google ให้ปฏิเสธเฉพาะ URL ที่ระบุในบรรทัดนั้น
ระบุ Domain name
- รูปแบบข้อความ : ขึ้นต้นด้วย domain: แล้วตามด้วยโดเมนเนมของ Bad Backlink
- ความหมาย : แจ้ง Google ให้ปฏิเสธทุก URL ที่อยู่ใต้ Domain Name เหมาะในกรณีที่ Bad Backlink มีลักษณะเป็นหลายๆ URL แต่มาจากโดเมนเนมเดียวกัน
2. เริ่มต้นบรรทัดด้วยเครื่องหมาย # มีความหมายว่า บรรทัดดังกล่าวเป็นแค่หมายเหตุ กูเกิ้ลจะไม่สนใจประมวลผลในบรรทัดนั้น
โดยตัวอย่างของ Disavow File ตามรูป
คำอธิบาย ตัวอย่าง Disavow File
- แจ้ง Google ว่า ปฏิเสธ 3 URL ข้างล่าง ให้ไม่นับเป็น Backlink ของเว็บ
- https://bangkokspam.com/spammylink/link1
- https://bangkokspam.com/spammylink/link2
- https://bangkokspam.com/spammylink/link2
- แจ้ง Google ว่า ปฏิเสธ ทุก URL ของโดเมน badbacklink.com และ lowqualitylink.com ให้ไม่นับเป็น Backlink ของเว็บ
5. ส่งไฟล์ไปที่ Google Search Console
เมื่อคุณใส่ข้อมูลใน Disavow File เรียบร้อย ขั้นตอนสุดท้ายคือ ส่งไฟล์ดังกล่าวไปที่ Google Search Console โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ไปที่ Disavow Tool
- เลือกพร็อพเพอร์ตี้ เพื่อระบุว่า จะปฏิเสธ Bad Backlink ของเว็บไซต์ใด
- กดปุ่ม Upload
- เลือก Disavow ไฟล์ >> กด Submit เป็นอันเสร็จครับ
นานเท่าไหร่ จึงจะเห็นผลจากการทำ Disavow Link
จากประสบการณ์ของผม เมื่อเราทำ Disavow Link 10 ครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่า ผลลัพธ์ SEO จะดีขึ้นทั้ง 10 ครั้งนะครับ
โดยผลลัพธ์จากการทำ Disavow Link จะปรากฎใน 3-4 เดือนหลังจากทำ แต่หากหลังจากทำไป 6 เดือนแล้ว กราฟปริมาณ Organic Traffic ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง หรือ ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกใดๆ ก็แสดงว่า สาเหตุที่ ปริมาณ Organic Traffic ไม่เพิ่มขึ้น สาเหตุหลักน่าจะไม่ใช่ Bad Backlink ก็ให้ตรวจสอบและแก้ไขประเด็นอื่นๆต่อไปครับ
สรุป
Disavow link คือ กระบวนการที่เจ้าของเว็บแจ้งไปที่ Google ว่า ลิงก์ใดเป็น Bad Backlink และขอให้ Google ไม่นำลิงก์นั้นมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาอันดับบนผลการค้นหา โดยเราควรทำ Disavow File เมื่อเว็บไชต์เราเกิดสถานะการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
- ได้รับข้อความ Manual Action
- Organic Traffic & Keyword Ranking ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
- จำนวน Bad Backlink เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งถึงแม้จะข้อถกเถียงว่า Disavow Link จำเป็นหรือไม่ แต่ส่วนตัวผมสนับสนุนให้ทำ Disavow link เพราะเป็นสิ่งที่ทำไม่ยาก และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา หลังจากทำ Disavow link ก็ไม่เคยปรากฏว่า Organic Traffic ลดฮวบฮาบอย่างมีนัยยะสำคัญ ผมจึงเห็นว่า Disavow Link เป็นอีกเครื่องมือเสริมสำหรับการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จครับ