โลก E-commerce กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และปี 2025 ก็เป็นปีที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และปัจจัยอื่นๆ ส่งผลให้ธุรกิจ E-commerce ต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 5 เทรนด์ E-commerce ที่สำคัญที่สุดในปี 2025 ตามไปอ่านกันต่อได้เลย!
ยาวไป อยากเลือกอ่าน?
1. ตลาด E-commerce แข่งขันดุเดือด
ในปี 2023 E-commerce ใน SEA มี GMV อยู่ที่ 1.146 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีการเติบโตจากปี 2020 มากถึง 2.1 เท่า เรียกได้ว่ามีการเติบโตอยู่ตลอดในแต่ละปี
ตลาดในประเทศเวียดนามและไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วกว่าประเทศอื่น โดยเทียบปี 2022 กับ 2023 ประเทศเวียดนามมีการเติบโตมากถึง 52.9% และประเทศไทยมีการเติบโต 34.1%
นอกจากนี้แพลตฟอร์ม E-commerce ก็มีการแข่งขันที่ดุเดือด โดย Shopee ยังคงรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่ง ใน SEA ได้ โดยมี GMV อยู่ที่ 5.51 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
Lazada ครองอันดับสองในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยมี TikTok Shop ไล่ตาม Lazada มาติดๆ ทำให้ TikTok Shop กลายเป็นแพลตฟอร์มอันดับสองใน SEA
จากข้อมูล Momentum Works Insights ได้กล่าวว่าบน Shopee ประเภทสินค้าที่ขายดีที่สุดคือ Fashion & Accessories ในขณะที่ Lazada กลุ่มสินค้าที่ขายดีคือ Electronics & Appliances และ TikTok สินค้าที่ขายดีคือ Beauty, Health & Personal Care
โดยสรุป Shopee, Lazada และ TikTok เป็นแพลตฟอร์มมาแรงในด้าน E-commerce และตลาดประเทศไทยมีมูลค่าตลาด E-commerce ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค โดยมีมูลค่า 9.8 แสนล้านบาท ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าในปี 2024 จะมีการเติบโตถึง 14% ไปจนถึงปี 2027
Shifu แนะนำ
Etailligence แพลตฟอร์ม E-commerce Listening ที่จะพาเจาะลึกการค้าบน E-marketplaces ไทยได้อย่างแม่นยำ ถ้าอยากรู้จัก Etailligence มากกว่านี้ ตามไปรู้จักได้ที่ “เว็บไซต์ของ Etailligence”
2. การก้าวเข้ามาของ E-commerce Listening

แน่นอนว่าในตลาด E-commerce นั้นมีการแข่งขันอย่างดุเดือด เทคโนโลยีต่างๆ ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ตลาดของ E-commerce ไทยเปลี่ยนไปนั่นก็คือ E-commerce Listening
E-commerce Listening คือ การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม E-commerce เช่น Shopee หรือ Lazada เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น นึกภาพของการที่คุณสามารถรู้ได้ว่า สินค้าประเภทไหนหรือแบรนด์ไหนที่เป็นสินค้ายอดนิยม หรือคุณสามารถติดตามข้อมูลจากคู่แข่งบน E-commerce ได้ นั่นจะเป็นข้อมูล Insight ที่ทำให้คุณสามารถนำมาวางแผนการตลาดได้อย่างดีเยี่ยม
ทำไมการวิเคราะห์ข้อมูลจาก E-commerce จึงสำคัญ?
- เข้าใจลูกค้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น: คุณจะรู้ว่าลูกค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คิดอย่างไรเกี่ยวกับสินค้าของคุณ และมีข้อเสนอแนะอะไรบ้าง
- วิเคราะห์คู่แข่ง: คุณสามารถเปรียบเทียบสินค้าและราคาของคุณกับคู่แข่ง เพื่อหาจุดแข็งจุดอ่อนและปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ปรับปรุงสินค้าและบริการ: ข้อมูลที่ได้จากการฟังเสียงลูกค้า จะช่วยให้คุณปรับปรุงสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
- วางแผนการตลาดที่แม่นยำ: คุณสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการวางแผนการตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทำให้การลงทุนด้านการตลาดคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
และในประเทศไทยตอนนี้ก็มีเครื่องมือ Etailligence แพลตฟอร์ม E-commerce Listening ที่จะพาเจาะลึกการค้าบน E-marketplaces ยอดนิยมในไทยอย่าง Shopee และ Lazada ทำให้คุณสามารถวิเคราะห์แนวโน้มตลาดเพื่อวางแผนการตลาดได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โดยเป็นการผนึกกำลังของสองผู้นำด้าน E-commerce และด้าน Data Analytics ของประเทศไทยอย่าง Priceza และ Wisesight อีกด้วย โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในโครงการ CONNEXION ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)
Etailligence มีฟีเจอร์โดดเด่น 3 อย่างคือ
- Product Explorer: ใช้ติดตามเทรนด์สินค้าขายดีราย SKU แสดงผลเป็นกราฟยอดขาย ราคาขาย และข้อมูลอื่นๆ ของสินค้าที่วางขายใน Shopee และ Lazada
- Store Explorer: ตัวช่วยเจาะข้อมูลร้านค้า บน Shopee และ Lazada ใช้ในการดูยอดขายและสินค้าขายดีของร้านคู่แข่ง หรือคู่ค้าเพื่อพิจารณานำสินค้าไปวางขาย
- Market Analysis: ใช้ดูข้อมูลภาพรวมตลาด E-commerce ใน Shopee และ Lazada รวมถึงเปอร์เซ็นส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์ในกลุ่มสินค้าที่เลือก เพื่อเปรียบเทียบแบรนด์ตัวเองกับคู่แข่ง
ผลกระทบของ E-commerce Listening ต่อตลาด E-commerce
- การแข่งขันที่สูงขึ้น: ทุกธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลของคู่แข่งได้ง่ายขึ้น ทำให้การแข่งขันด้านราคา ผลิตภัณฑ์ และการตลาดเข้มข้นมากขึ้น
- การปรับตัวที่รวดเร็ว: ผู้ประกอบการต้องติดตามข้อมูลและเทรนด์ของตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
- การสร้างสรรค์นวัตกรรม: เพื่อให้โดดเด่นจากคู่แข่ง ผู้ประกอบการต้องคิดค้นสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ตรงใจลูกค้า
- ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น: ข้อมูลที่ได้จากการฟังเสียงลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงบริการและแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
- การตลาดที่ตรงจุด: การทำการตลาดสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด
3. Consignment Model โมเดลฝากขายกับสินค้าราคาโรงงาน


จากแรงกระเพื่อมที่ Temu แพลตฟอร์ม E-commerce ขนาดใหญ่จากจีนได้เข้ามาปฏิวัติวงการค้าปลีกทั่วโลก โดยจุดเด่นของ Temu คือ เป็นสินค้าราคาถูกและส่งตรงจากโรงงาน หรือก็คือใช้ Cosignment Model ระบบฝากขาย ทำให้ผู้บริโภคในตลาดโลกมีทางเลือกเข้าถึงสินค้าราคาถูกได้มากขึ้น และนั่นเป็นเหตุผลที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับ E-commerce เจ้าอื่นๆ เป็นอย่างมาก
แต่แน่นอนว่าในไทยที่มีเจ้าใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada ก็อาจไม่ง่ายสำหรับ Temu เพราะ มี Shopee Choice และ Lazada Choice ที่ใช้ Cosignment Model นำเสนอสินค้าราคาโรงงานที่คัดมาแล้วว่าราคาถูก โดยทางแพลตฟอร์มจัดการสต็อกและจัดส่งเอง ทำให้ถึงมือผู้ซื้อได้อย่างรวดเร็ว
เรียกได้ว่าการเข้ามาของ Temu ในประเทศไทยอาจจะยังไม่สามารถทลายกำแพงของสองเจ้าใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada ได้ขนาดนั้น แต่ก็มีผลกระทบ เช่น
- การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น: Temu นำเสนอสินค้าราคาถูกจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าแฟชั่น และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับราคาสินค้ามากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ในการตั้งราคาสินค้า เพื่อให้แข่งขันกับ Temu ได้
- ความท้าทายในการจัดการสต็อกสินค้า: เนื่องจาก Temu มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย และมีการหมุนเวียนสินค้าอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการที่ใช้โมเดล Consignment ต้องมีระบบการจัดการสต็อกสินค้าที่รัดกุมมากขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที
ผลกระทบของ Consignment Model ต่อตลาด E-commerce
- เพิ่มความหลากหลายของสินค้า: โมเดลนี้ช่วยให้มีสินค้าหลากหลายแบรนด์และประเภทมากขึ้นบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น
- ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย: ผู้ขายไม่ต้องกังวลเรื่องสต็อกสินค้าคงคลังที่ขายไม่ออก ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
- เพิ่มโอกาสให้ผู้ขายรายย่อย: ผู้ขายรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องมีหน้าร้านหรือคลังสินค้าขนาดใหญ่
- เพิ่มการแข่งขันในตลาด: การมีผู้ขายจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพสินค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
- เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการซื้อสินค้ามากขึ้น ทำให้พฤติกรรมการซื้อสินค้าเปลี่ยนแปลงไป เช่น การเปรียบเทียบราคา การอ่านรีวิวสินค้ามากขึ้น
- ส่งเสริมการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มใหม่ๆ: โมเดล Consignment ทำให้เกิดแพลตฟอร์ม E-commerce ใหม่ๆ ที่เน้นการขายสินค้าแบบ Consignment เพิ่มมากขึ้น
4. Affiliate Marketing มาแรง


ในปีนี้ถือว่าสิ่งมาแรงอันดับต้นๆ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ Affiliate Marketing ที่มาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าแพลตฟอร์ม E-commerce ไหนในไทยไม่ว่าจะ Shopee, Lazada, TikTok และ 7-11 ต่างมีโปรแกรม Affiliate ให้ทุกคนสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งในโปรแกรม เพียงแค่คุณแชร์ลิงก์ของสินค้าแล้วถ้ามีคนซื้อสินค้าจากลิงก์ของคุณ คุณก็ได้ค่า Commission ไปเลย

จากข้อมูลของ Influencer Marketing Hub ได้กล่าวว่า ในช่วงปี 2022-2023 การจ่ายค่าตอบให้กับ Influencer หรือ KOL เดิมเน้นจ่ายเป็นค่าจ้างตายตัว (Flat Rate) แต่ในปี 2024 ได้เปลี่ยนมาเป็นจ่ายตามยอดขาย นี่จึงทำให้การทำการตลาดแบบ Influencer Marketing ก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน เนื่องจากการทำ Affiliate Marketing ทำให้แบรนด์หรือผู้ประกอบการได้ประโยชน์มากกว่า
ทำไม Affiliate Marketing ถึงสำคัญใน E-commerce ไทย?
- ขยายฐานลูกค้าได้รวดเร็ว: Affiliate สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงได้มากกว่า ทำให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
- ลดต้นทุนการตลาด: แทนที่จะลงทุนกับการโฆษณาจำนวนมากหรือการจ่ายค่าจ้าง Influencer ธุรกิจจะจ่ายค่าตอบแทนให้เฉพาะตามยอดขายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้นทำให้การลงทุนคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
- เพิ่มยอดขาย: Affiliate Marketing ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่เป็นที่นิยม
- สร้างความน่าเชื่อถือ: เมื่อผู้บริโภคเห็นการแนะนำสินค้าจาก Influencer หรือ Blogger ที่ตนเองติดตาม จะมีความน่าเชื่อถือและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
- วัดผลได้: สามารถติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถพัฒนากลยุทธ์ได้อย่างต่อเนื่อง
5. Live Commerce เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Live Commerce หรือการขายสินค้าผ่านไลฟ์สดกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ตั้งแต่ที่หลากหลายแพลตฟอร์มไม่ว่าจะ Shopee หรือ TikTok ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญทำให้คนสนใจซื้อของผ่านไลฟ์ด้วยการกระตุ้นราคาพิเศษหรือโค้ดลดไลฟ์สดโดยเฉพาะ ยิ่งทำให้พฤติกรรมของคนซื้อสินค้าผ่านไลฟ์สดกันเยอะมากขึ้น
จากรายงานของ Cube Asia ได้กล่าวว่า Live Commerce ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกตกเฉียงใต้ โดยจากการสำรวจพบว่า คนไทยเคยดูคอนเทนต์ Live Commerce ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็น 90% อย่างน้อย 1 แพลตฟอร์ม โดยมี 3 แพลตฟอร์มยอดฮิตคือ TikTok, Shopee และ Facebook ตามลำดับ
เทรนด์ตลาด Live Commerce ในไทย
- Live Commerce ผสานความบันเทิง: ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมผ่านการพูดคุย เล่นเกม หรือจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสนุกสนานและดึงดูดผู้ชมให้เข้ามาร่วมชมและซื้อสินค้า
- Micro-Influencer ขึ้นมามีบทบาท: ผู้ที่มีอิทธิพลในกลุ่มเล็กๆ หรือ Micro-Influencer เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับผู้ติดตาม ทำให้การโปรโมทสินค้าผ่าน Micro-Influencer มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Short-form Video: การใช้แพลตฟอร์มวิดีโอสั้น เช่น TikTok, Reels ในการโปรโมทสินค้าก่อนการ Live เพื่อสร้างกระแสและดึงดูดผู้ชมเข้ามาใน Live Commerce
- สินค้าหลากหลาย: ไม่ใช่แค่สินค้าแฟชั่นและความงาม แต่ขยายไปสู่สินค้าประเภทอื่นๆ เช่น อาหาร เครื่องใช้ในบ้าน และสินค้าสำหรับเด็ก
โอกาสที่ Live Commerce นำมาสู่ผู้ประกอบการ
- เข้าถึงลูกค้าได้ตรงกว่า: สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ ตอบคำถามข้อสงสัยได้ทันที ทำให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น
- เพิ่มยอดขาย: การสาธิตสินค้าสดๆ ทำให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าชัดเจนขึ้น และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
- สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: การพูดคุยและโต้ตอบกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างความภักดีต่อแบรนด์
- ลดต้นทุนการตลาด: เมื่อเทียบกับการลงโฆษณาแบบเดิมๆ Live Commerce สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดกว่า และประหยัดค่าใช้จ่าย
- สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก: การทำ Live Commerce อย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ
- การแข่งขันสูง: มีผู้ประกอบการจำนวนมากหันมาทำ Live Commerce ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น
- ต้องมีทักษะหลากหลาย: ไม่เพียงแต่ความรู้เรื่องสินค้า แต่ยังต้องมีความสามารถในการพูด การนำเสนอ และการตอบคำถาม
- ต้องลงทุนกับอุปกรณ์: ต้องมีอุปกรณ์ในการถ่ายทำและไลฟ์สดที่มีคุณภาพ
- การจัดการสต็อก: ต้องมีระบบการจัดการสต็อกสินค้าให้ทันสมัย เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
- การปรับตัวให้ทันเทรนด์: เทคโนโลยีและเทรนด์ของ Live Commerce เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทัน
สรุป
ตลาด E-commerce ในปี 2025 มีการแข่งขันสูงขึ้นอย่างมาก โดยมีแพลตฟอร์มหลักๆ อย่าง Shopee, Lazada และ TikTok ที่ครองส่วนแบ่งตลาด และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยและเวียดนาม
เทคโนโลยี E-commerce Listening กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และคู่แข่งได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้สามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โมเดล Consignment หรือการฝากขายสินค้ากำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ Temu เข้ามาทำตลาดในไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น และผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น
Affiliate Marketing ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะการจ่ายค่า Commission ตามยอดขาย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
และสุดท้าย Live Commerce ยังคงเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการผสานความบันเทิงเข้ามาใน Live ทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกสนานและตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
สรุปแล้ว ในปี 2025 ผู้ประกอบการ E-commerce ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Live Commerce และ Affiliate Marketing เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่รุนแรงได้
[Sponsorship Disclosure] คอนเทนต์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก Etailligence