Blog

ทำอย่างไรให้ธุรกิจขึ้นไปติดบน AI Search ด้วยกลยุทธ์ SEO แบบใหม่

• 23 กรกฎาคม 2025

ASEO

Share on

Share on

หลายธุรกิจที่เคยเติบโตได้ผ่านการทำ SEO ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มส่อสัญญาณถึงการเติบโตที่ช้าลง โดยหลายแบรนด์เองก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร และจะต้องปรับกลยุทธ์การทำ SEO ปัจจุบันอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจยังครองตลาดต่อไปได้ ทั้งที่นักการตลาดก็รับรู้ถึงการมาของ AI และเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็มีการใช้เพื่อประกอบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย แต่พวกเขายังลืมไปว่าจริงๆ แล้วนั้นเราก็เริ่มหาข้อมูลผ่าน AI Search โดยไม่ได้สังเกตว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่สำคัญ ที่ทำให้การเติบโตบน Organic Traffic ของพวกเขาเริ่มไม่เป็นเหมือนที่คาดหวัง

ในทุกวันนี้คำว่า “AI Search” เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจที่ต่างหาวิธี ในการนำชื่อธุรกิจตัวเองขึ้นมาแนะนำและปรากฏบน AI แต่แพลตฟอร์มผู้พัฒนา AI ค่ายต่างๆ ก็แข่งขันกันเดือดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Google เองที่พัฒนา Gemini และเปิดตัวฟีเจอร์บนหน้าการค้นหาใหม่ๆ อย่าง AI Overview และ AI Mode อย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อแข่งขันกับ OpenAI ที่มี ChatGPT เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว หรือแม้กระทั่ง Perplexity และ Claude ที่ดึงดูดผู้ใช้งานบางส่วนไปค้นหามากขึ้น นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้การเติบโตบน Organic Search เริ่มลดลง อีกทั้งยังน่าจะส่งผลมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตอีกด้วย

“ในฐานะคนทำ SEO มาหลายปี การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ใหญ่กว่าที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่นักการตลาดที่ต้องปรับตัว แต่การทำ AI Search Optimization มันคือ “ช่องทางใหม่” ที่จะสร้างลูกค้าในอนาคต ที่จะเปลี่ยนผู้ตามเกมก่อนหน้านี้ ให้กลายเป็นเจ้าตลาดหน้าใหม่ได้เลย ถ้าเค้าเรียนรู้และปรับตัวเร็วกว่า” 

รัชวิทย์ หวังพัฒนธน
Rachavit Whangpatanathon
CEO และ Managing Director ที่ ANGA Bangkok

AI Search คืออะไร

AI Search คือพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลผ่าน Large Language Models (LLMs) ซึ่งเป็นโมเดลที่สร้างคำตอบสำหรับ AI แต่ละตัว โดยผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอาจเกิดได้จากทั้งแหล่งข้อมูลที่อ้างอิง รวมไปถึงบัญชีที่ใช้งานด้วย ในปัจจุบันมี AI หลายตัวที่เริ่มมีบทบาทในวงการการตลาดออนไลน์ จากที่เรามักใช้ Search Engine อย่าง Google ในการค้นหาข้อมูล ในปัจจุบันนี้ผู้ใช้งานเริ่มคุ้นชินกับการได้รับคำตอบจาก AI มากขึ้น โดยเฉพาะในทุกวันนี้คำตอบของ AI มีความแม่นยำสูงขึ้น ไม่เหมือนช่วงเริ่มต้นที่อาจเกิดความหลอน (AI Hallucination) เพราะแหล่งข้อมูลอ้างอิงยังไม่แข็งแรง

ในปัจจุบัน Google เองมีการปรับโครงสร้างหน้าการแสดงผลการค้นหาที่เรียกว่า SERPs (Search Engine Results Pages) เพื่อให้รองรับกับพฤติกรรมผู้ใช้งานที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดยจากที่ผลลัพธ์หลักจะเป็น Blue Links หรือการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งเราจะเห็นเป็นลิงค์สีน้ำเงิน นับเป็นช่องทางสำคัญสำหรับธุรกิจที่มีเว็บไซต์ในการนำพาผู้เข้าชม เราเรียกว่า Organic Traffic ตั้งแต่ปี 2024 เราได้เห็นการแสดงผลรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า AI Overviews และในปี 2025 เป็นต้นไป เรากำลังจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ Search Engine นั่นก็คือ AI Mode ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางปี 2025

Google SEO vs AI Overviews vs AI Mode
ภาพประกอบ ความแตกต่างของการแสดงผลการค้นหาบน Google SEO vs AI Overviews และ AI Mode

Google AI Overview คืออะไร

Google AI Overview คือรูปแบบการแสดงผลลัพธ์การค้นหารูปแบบของ Generative AI ซึ่ง Google จะนำคำค้นหาที่ผู้ใช้งานค้นหาไปหาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และไม่ได้จำกัดเพียงแค่เว็บไซต์ นั่นอาจรวมไปถึงวิดีโอ หรือสื่อประเภทอื่นๆ บนโลกออนไลน์ 

AI Overview จะแสดงผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกันในแต่ละครั้ง เพราะคำตอบเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นแล้วจัดเก็บเตรียมเอาไว้เพื่อแสดงผล แต่เป็นการสร้างคำตอบใหม่ๆ ขึ้นมาด้วยโมเดลของ AI ที่ใช้ประมวลผล ทั้งนี้ AI Overview จะใส่แหล่งข้อมูลที่อ้างอิงประกอบไว้ให้ผู้ใช้งานเห็นเสมอ นอกจากจะเป็นการยืนยันว่าคำตอบเหล่านี้มีการตรวจสอบกับแหล่งที่มาแล้ว ยังเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญในการส่งผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ที่อ้างอิงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

Google AI Mode คืออะไร

Google AI Mode คือ AI ที่แสดงผลบนหน้าค้นหาของ Google โดยทำหน้าที่ช่วยค้นหาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงต่างๆ ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ โดยแตกต่างกับการค้นหาเดิมๆ ที่ต้องใช้ Keyword (คำค้นหา) เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งผลลัพธ์จะแสดงผลโดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO อย่างมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ 

สำหรับ AI Mode นั้นได้แสดงถึงประโยชน์ที่มากกว่านั้น มันสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมทั้งประมวลวิธีที่จะใช้แสดงผลโดยควบรวมการแสดงผลหลากหลายประเภทเข้าด้วยกันเช่น Google Maps, สร้างการเปรียบเทียบ, Google Business Profile และอีกมากมายที่น่าจะเพิ่มเข้ามาในอนาคต

ASEO Webinar
งาน Webinar สำหรับสาย SEO ที่คุณไม่ควรพลาด

ทำไมต้องปรับตัวจากการทำ SEO ปัจจุบัน

หลายแบรนด์ที่เห็นดาต้าของตัวเองบน Google Analytics 4 หรือ Google Search Console อาจมองว่าในช่วงปี 2025 การผันผวนของ Organic Traffic ดูเป็นเรื่องที่ขึ้นลงตามเทรนด์ แต่จากในมุมมองของ SEO Agency อย่าง ANGA ได้ให้ความเห็นว่า เว็บไซต์ที่มี Organic Traffic สูงเกินหลักแสนในปี 2025 มีแนวโน้มที่จะมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ลดลง โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่เคยทำคอนเทนต์ประเภทข้อมูลทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้มีความแตกต่างกับเว็บไซต์อื่นๆ เพียงเพราะว่า KPI หลักของพวกเขาคือ “Traffic” ซึ่งแน่นอนว่ากลยุทธ์ในการทำบทความก็จะโฟกัสไปที่คำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูง (High Search Volume) แต่ผู้เข้าชมเหล่านี้ ก็มักจะไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นลูกค้าของธุรกิจสักเท่าไหร่ หากเทียบกับเว็บไซต์ธุรกิจที่ไม่ได้โฟกัสไปยังยอดการเติบโตของ Traffic แต่โฟกัสที่ยอดขาย เว็บไซต์ประเภทนี้กลยุทธ์ในการทำบทความของพวกเขาจะแตกต่างออกไป และมักได้รับผลกระทบจากเรื่อง AI Search ที่น้อยกว่าเว็บไซต์กลุ่มแรก

Organic Traffic Drop by AI Search
ภาพประกอบ Organic Traffic ที่อาจลดลงในอนาคตจาก AI Search

ทำไม AI Search ถึงทำให้ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ลดลง

ข้อมูลจาก SEMRush ในปี 2025 อ้างว่าใน AI Overview ตอนนี้มีการแสดงผลสูงถึง 13.14% ในเดือนมีนาคม 2025 และซึ่งเพิ่มจากขึ้นเดือนมกราคมประมาณ 2 เท่า และยังพบว่าการแสดงผลด้วย AI นั้นเกิดจากการค้นหาแบบข้อมูลทั่วไป (Informational Queries) สูงถึง 88.1%

สาเหตุที่ AI Search ทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ลดลงหลักๆ มาจากช่องทาง Organic Search หรือ SEO ซึ่งในปัจจุบันเราแบ่งออกมาได้ 2 สาเหตุหลักๆ

  1. สาเหตุที่ 1 : ในปี 2025 Google ได้ปรับปรุงผลลัพธ์การค้นหาโดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เคยเปิดตัวไปเมื่อปี 2024 นั่นก็คือ AI Overview โดยฟีเจอร์นี้จะทำหน้าที่สรุปเนื้อหาสำคัญจากเว็บไซต์ที่มีคำตอบและน่าเชื่อถือสูง ส่งผลให้ผู้ค้นหาบน Google ได้รับคำตอบที่ต้องการโดยทันที และมักไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคลิกเข้าสู่เว็บไซต์เหมือนการจัดอันดับ SEO ที่เราเรียกว่า Blue Links ซึ่งในปัจจุบันผู้ใช้งานอาจจะต้องเลื่อนลงไปเล็กน้อยถึงจะเจอการจัดอันดับเว็บไซต์เหมือนที่คุ้นเคย
  2. สาเหตุที่ 2 : การมาของ Large Language Models (LLMs) ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่าง ChatGPT, Gemini และ Perplexity ส่งผลอย่างมากในการดึงผู้ใช้งานที่มักค้นหาบน Google ให้ไปค้นหาบน LLMs เหล่านั้นแทน ซึ่งนอกจากผู้ใช้งานจะสามารถได้รับคำตอบในทันทีแล้ว ก็ยังจะสามารถถามคำถามถัดไป หรือแทบจะสามารถสั่งให้ AI ดังกล่าวทำสรุปข้อมูลออกมาในรูปแบบต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งสาเหตุนี้ แม้ว่าจะยังไม่ใช่สัดส่วนที่มากนัก แต่ก็มีอัตราส่วนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเราดูจาก LLM Traffic ที่เห็นบน Google Analytics 4 ของเว็บไซต์

Large Language Models (LLMs) ยอดฮิตในปัจจุบันมีตัวไหนบ้าง

  • ChatGPT
  • Gemini
  • Perplexity
  • Claude
  • DeepSeek

SEO vs GEO vs AEO vs ASEO vs LLMO แตกต่างกันอย่างไร?

ASEO เป็นอีกหนึ่งคำย่อ เวลาที่เราพูดถึงการทำ SEO และ AI Search Optimization เราอาจได้เห็นความหมายที่ใกล้เคียงกันจากคำจำกัดความอื่นๆ เช่น

  • GEO (Generative Engine Optimization)
  • LLMO (Large Language Model Optimization)
  • AEO (AI Engine Optimization)
  • ASEO (AI & Search Engine Optimization)

ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็มีความหมายใกล้เคียงกัน และจุดประสงค์ทางด้านการตลาดออนไลน์เหมือนกัน คือการเพิ่มการมองเห็นหรือ Search Visibility บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าผู้ใช้งานจะหันไปค้นหาผ่านตัวกลางไหนอย่าง Search Engine เช่น Google หรือ Large Language Model เช่น Gemini, ChatGPT, Perplexity และ Claude AI 

AI & Search Engine Optimization (ASEO)
ภาพประกอบ AI & Search Engine Optimization (ASEO)

5 เทคนิคของ ASEO ช่วยให้ธุรกิจถูกแนะนำบนคำตอบของ AI Search

เทคนิค 1 : เพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ของ AI ด้วย Crawlability

Crawlability คือความสามารถในการเข้าถึงโครงสร้างข้อมูลของเว็บไซต์เราจาก Search Engine และ AI Bot หากเว็บไซต์ของเราจำกัดการเข้าถึงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็อาจทำให้ Bot เข้าไม่ถึงเนื้อหาที่สำคัญ และส่งผลกับการพูดถึงชื่อแบรนด์ของเราบน AI ซึ่งจะเกิดความเสียเปรียบหากเราเทียบกับเว็บไซต์จะจัดการโครงสร้างได้ดี เพื่อเอื้อต่อการเข้ามาอ่านและจัดเก็บข้อมูลของ Bot ประเภทต่างๆ

เพื่อให้เว็บไซต์มั่นใจว่า AI Bot และ Search Engine Bot เข้าถึงเนื้อหาของเราได้ง่าย อาจจะต้องตรวจสอบ 5 ข้อสำคัญดังนี้

  1. Robots.txt – ไฟล์ที่สามารถตั้งกฎในการเข้าถึง URL ต่างๆ บนเว็บไซต์ของเรา ต้องตรวจสอบให้ดีว่าเรากำลังปิดกั้น URL ไหนไว้รึเปล่า
  2. Site Architecture – โครงสร้างของเว็บไซต์มีผลต่อการเข้าถึงข้อมูลของ Bot ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Internal Linking ระหว่างหน้าสำคัญ หรือการจัดเรียงว่าหน้าไหนมาก่อนหรือหลังก็มีผล
  3. Page Speed – เว็บไซต์ที่อืด ช้า หน่วง ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ใช้งานกดออกจากเว็บไซต์ แต่ยังทำให้ Bot ต่างๆ รู้สึกเสียเวลาในการรอ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไม Page Speed ถึงเป็นปัจจัยสำคัญ
  4. Quality of Content – เนื้อหาบนเว็บไซต์ต้องคุณภาพดี Bot ถึงอยากเข้าถึงบ่อยๆ เพราะถ้าเข้าไปแล้วเจอแต่เนื้อหาไม่มีคุณภาพ เว็บไซต์ของเราอาจถูกลดโอกาสเข้าถึงมากขึ้น
  5. Crawl Budget – Bot ก็เป็นทรัพยากรนึงที่มีจำกัด ยิ่งเนื้อหาบนโลกออนไลน์เยอะขึ้น Bot ก็ทำงานหนักขึ้น โจทย์คือเราต้องทำให้เว็บไซต์ของเราเอื้อต่อ Crawl Budget ที่มีอยู่จำกัด

เทคนิค 2 : เข้าใจแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกันของ LLMs

สิ่งสำคัญมากๆ ที่นักการตลาดต้องเรียนรู้คือ LLMs แต่ละตัวมีหลักการเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน และวิธีการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละ AI อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ChatGPT มักจะเรียนรู้แหล่งข้อมูลที่เป็นเว็บไซต์ขนาดใหญ่และได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมักจะเป็นเว็บไซต์ต่างประเทศ อีกทั้งยังชอบนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของการเปรียบเทียบเป็นตาราง ในขณะที่ Perplexity อาจจะทำหน้าที่คล้ายๆ Search Engine 

โดยหลังจากที่ทีม SEO ของ ANGA ได้พยายามเรียนรู้และแกะวิธีการนำเสนอข้อมูลของ LLMs แต่ละตัวแล้ว เรามีข้อสรุปประกอบทีมการตลาดให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

ตาราง เปรียบเทียบ LLMs และ AI ยอดนิยมว่ามีวิธีเรียนรู้ข้อมูลและนำเสนออย่างไร

Large Language Modelsแหล่งข้อมูล (Citation Sources)การนำเสนอข้อมูล (Generative Answers)
ChatGPT โดย OpenAIUser-generated Content (UGC) มักถูกใช้เว็บไซต์สเกลใหญ่ต่างประเทศฝังลิงค์อ้างอิงที่มาในเนื้อหานำเสนอเป็นรูปแบบ Conversational และ Follow-up Questions เหมือน AI ทั่วไป 
Google AI Overviewsส่วนใหญ่อ้างอิงจากเว็บไซต์ในปัจจุบันมี Instagram ที่ถูกใช้ด้วยมักนำเสนอเป็น Bullet Points ที่กระชับอ้างอิงเว็บไซต์ที่นำข้อมูลมาอย่างชัดเจน
Google AI Modeอ้างอิงจากเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ดีประเภทของแหล่งข้อมูลหลากหลายนำเสนอเป็นรูปแบบ Conversational และ Follow-up Questions เหมือน AI ทั่วไป 
Gemini โดย Googleแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่จากเว็บไซต์ที่เข้าถึงได้ง่าย เนื้อหาคุณภาพไม่ค่อยอ้างอิงแหล่งที่มาเป็นลิงค์ ต้องถามและเจาะจง
Perplexity AIแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่จากเว็บไซต์ที่เข้าถึงได้ง่าย เนื้อหาคุณภาพหลายแหล่งอ้างว่าใช้ข้อมูลเดียวกับ Googleให้แหล่งข้อมูลอ้างอิงคล้าย Search Engine
Claude โดย Anthropicไม่ได้โดดเด่นในการเปิดเผยแหล่งข้อมูลสามารถให้แหล่งข้อมูลอ้างอิงได้เมื่อถูกสั่งให้กำหนด
AI Search และ Large Language Models
ภาพประกอบ AI Search และ Large Language Models

เทคนิค 3 : Multimodal และ EEAT ยังคงชนะเสมอ

ถ้าพูดถึงหลักการเขียนเนื้อหาให้มีคุณภาพสำหรับ Google คงหนีไม่พ้นคำว่า E-E-A-T องค์ประกอบสำคัญที่ Google ประกาศมาตลอดหลายปีให้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพ โดย 4 องค์ประกอบนี้ประกอบไปด้วย 

  • E (Experience) – เนื้อหาประกอบด้วยการแชร์ประสบการณ์จริงของผู้เขียนหรือธุรกิจ
  • E (Expertise) – เนื้อหาแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียน
  • A (Authoritativeness) – เนื้อหาแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียง ผู้เขียนหรือเว็บไซต์นั้นเป็นที่รู้จัก
  • T (Trustworthiness) – เนื้อหาเชื่อถือได้ มีแหล่งข้อมูลอ้างอิง

ความเข้าใจใน E-E-A-T แบบผิวเผิน อาจทำให้เราคิดว่าเนื้อหาที่เขียนนั้นมีคุณภาพที่ดีอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วหลายคนยังเข้าใจมันไม่มากพอ คำแนะนำสำหรับเราอยากให้ธุรกิจได้ลองอ่านบทความที่เขียนโดย Publisher ด้านการตลาดของต่างประเทศ ซึ่งวิธีการเขียนจะแตกต่างตรงที่เค้าเขียนจากประสบการณ์ ใช้ตรรกะในการประมวลผลเอง โดยไม่ได้เป็นลักษณะของการอ่านแหล่งข้อมูลอื่นแล้วสรุปใจความ ซึ่งแบบนี้อาจทำให้ค่าคะแนน E-E-A-T ของเราด้อยกว่า

Multimodal SEO คือการสร้างสื่อในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เว็บไซต์ของเราถูกอ้างอิงในวงกว้าง ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ตัวอักษร ในปัจจุบันการทำ SEO มักพึ่งพาการเขียนเป็นหลัก ซึ่งนั่นก็ส่งผลกับการจัดอันดับเว็บไซต์ (Ranking) ได้ดี ซึ่งจริงๆ แล้วหลักการของ SEO คือเราควรเพิ่ม Organic Visibility ให้หลากหลายมากขึ้นเช่น คนสามารถค้นพบธุรกิจเราได้ผ่านวิดีโอสั้น วิดีโอยาว รูปภาพ Infographic เป็นต้น

เทคนิค 4 : สัญญาณบนโลกออนไลน์ที่ทำให้ AI เชื่อคุณ

“ความน่าเชื่อถือ” นอกจากจะมีผลต่อผู้ใช้งานหรือลูกค้าของแบรนด์แล้ว ยังมีผลอย่างมากต่อ AI อีกด้วย มองภาพง่ายๆ ว่าแหล่งข้อมูลของ AI ก็มีเพียงโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์แบรนด์เองที่อาจบ่งบอกตัวตนของเรา แต่ปัจจัยภายนอกที่มักถูกมองข้าม เช่น สื่อโซเชียลมีเดีย เนื้อหาวิดีโอบน YouTube คลิปสั้นบน TikTok หรือ Instagram และรีวิวบนแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือเช่น Trustpilot, Google My Business ทั้งหมดนี้จริงๆ ล้วนประกอบกันเป็น External Signals สัญญาณภายนอกที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ 

แบรนด์จะต้องสร้างสื่อออนไลน์ที่กว้างขวางและมี Impact มากพอจน AI เข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจคุณ มีเคสนึงที่น่าสนใจคือ ChatGPT อ้างอิงข้อมูลของธุรกิจนึงผ่านเนื้อหา User-generated Content (UGC) จากเว็บไซต์ Pantip ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดของไทยที่มีมาอย่างยาวนาน กลายเป็นว่าการถูกพูดถึงในเว็บบอร์ดทั้งในด้านที่ดีและไม่ดีกลายเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีให้ AI นำไปสรุป และพูดถึงในลักษณะเดียวกัน

เพราะฉะนั้นหากแบรนด์ไม่ได้สนใจที่จะทำ ASEO เพื่อสร้าง Visibility บน Organic Search และ AI Search อย่างน้อยๆ ที่แบรนด์ควรต้องสนใจคือ Social Listening ว่าโลกออนไลน์นั้นพูดถึงคุณในแง่มุมไหนบ้าง หากมองข้ามเรื่องนี้ไป ชื่อธุรกิจของคุณอาจถูกเข้าใจผิดโดย AI ได้ในอนาคต

เทคนิค 5 : ปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญด้วย ASEO 

ASEO หรือ AI & Search Engine Optimization เป็น Framework ในการทำ SEO ที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาเพื่อรองรับการค้นหาในอนาคตอย่าง AI Search และด้วยแนวโน้มของ Organic Traffic ที่กำลังลดลงจาก Informational Contents นั่นอาจทำให้ผู้เข้าชมเว็บในอนาคตกลายเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพกว่าเมื่อก่อน เพราะในขณะที่เราได้ Organic Traffic ที่สูง นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้อ่านจะกลายเป็นลูกค้าของเรา

แต่ในอนาคตที่ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลครบถ้วนโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์อีกต่อไปแล้ว นั่นทำให้การยอม “คลิกเข้าสู่เว็บไซต์” กลายเป็นความท้าทายใหม่ของแบรนด์ต่างๆ เราอาจมั่นใจได้ว่าคนที่ยอมคลิกเข้าเว็บไซต์ในอนาคตมีเจตนาที่สูงมากพอที่จะเป็นลูกค้าของเรา เช่น เค้าอาจอยากซื้อสินค้า อยากติดต่อเราเพื่อสอบถามบริการมากขึ้น ด้วย ASEO นี้เองจึงถูกออกแบบมาให้เรารักษาผู้เข้าชมเว็บไซต์ในอนาคต ให้เกิดโอกาสเป็นลูกค้าเร็วและสูงขึ้น เราเรียกว่า Conversion Rate Optimization หรือ CRO

ASEO มีทั้งหมด 7 ปัจจัยด้วยกัน ดังนี้

  1. Keyword Research & Intent
  2. High Quality Content (E-E-A-T)
  3. SILO-based Structure
  4. Link Building
  5. External Signals
  6. Search Experience Optimization
  7. Technical Issues

สรุปทิศทางการทำ SEO เพื่อแสดงผลบน AI Search คือการเปลี่ยนมาทำ ASEO

“ในปีที่การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วแบบนี้ แบรนด์ที่ปรับตัวตอนนี้เท่านั้นถึงจะอยู่รอด AI Search ไม่ใช่เทรนด์ อีกต่อไป มันกำลังมีบทบาทในการตลาดออนไลน์สำหรับทุกธุรกิจอย่างจริงจัง ที่บอกได้เลยว่ามันเร็วมากๆ เพราะวันก่อนผมเองก็เห็นคุณแม่ผมค้นหาบน Google แล้วได้คำตอบจาก AI Overview ทันที เค้าแทบไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์อีกเลย”

รัชวิทย์ หวังพัฒนธน
Rachavit Whangpatanathon
CEO และ Managing Director ที่ ANGA Bangkok

วันนี้แบรนด์ต้องปรับตัวแล้ว แบรนด์ที่ทำ SEO ได้ดีมาตลอดจะได้เปรียบในเกม AI Search ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเว็บไซต์คือส่วนสำคัญของ ASEO (AI & Search Engine Optimization) การวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี เอื้อต่อการ Crawling ของ Bot สร้างความแตกต่างด้านเนื้อหาแต่มีประโยชน์กับผู้อ่าน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่แบรนด์อาจมองข้ามไป

จากข้อมูลที่ทีมที่รับทำ SEO ของ ANGA ได้สรุปมาให้กับพวกเราผ่านมุมมองคนทำ SEO จริงกว่า 300 เว็บไซต์ เห็นได้ชัดเลยว่าตลาดการค้นหา (Search Marketing) เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ยังคงมีหลายแบรนด์ที่ตั้งธง KPI ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน นี่อาจเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้เค้าต้องวิ่งเร็วขึ้นในอนาคต เพราะแบรนด์ส่วนนึงที่เข้าใจตลาดและพร้อมเปลี่ยนแปลงในวันนี้ จะมีแต้มต่อที่ดีกว่าแน่นอน

อีกอย่างที่ทีม SEO ของ ANGA ได้แชร์มาก็คือ “แล้วธุรกิจเปิดใหม่ จะสู้เค้าไหวมั้ย” คำแนะนำคือธุรกิจใหม่อย่าคาดหวังการเติบโตจากช่องทางเดียว การสร้างช่องทางการตลาดออนไลน์ที่หลากหลายเช่นโซเชียลมีเดีย และคอนเทนต์รูปแบบที่แตกต่างก็ช่วยส่งเสริมให้ AI Search พูดถึงคุณได้มากขึ้น เพราะ AI ไม่ได้เรียนรู้แบรนด์ได้แค่เว็บไซต์ แต่ยังจับสัญญาณและชื่อเสียงได้ผ่านสื่อมีเดียบนโลกออนไลน์ด้วย เพราะฉะนั้น Branding ก็สำคัญไม่แพ้กัน หากธุรกิจเปิดใหม่ต้องการมีพื้นที่บน AI Search

Share on

Writer

Content Shifu

แหล่งคอนเทนต์ชั้นดีเพื่อการเรียนรู้ Inbound & Content Marketing และ MarTech

More From Me