คุณเคยรู้สึกผิดหวังไหม เมื่อเห็นว่าแคมเปญการตลาดที่ทุ่มเททำมาหลายวันกลับไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง?
เว็บไซต์มีคนเข้าชมเยอะแต่ยอดขายกลับไม่ขยับ
หรือโฆษณาออนไลน์กินงบประมาณไปมากแต่ Conversion Rate กลับน้อยนิดจนน่าใจหาย?
นี่คือความท้าทายที่นักการตลาดดิจิทัลทุกคนต้องเผชิญ
สิ่งที่ทำให้การตลาดออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหญ่ๆ หรือแทคติกที่ซับซ้อน แต่รวมไปถึงการปรับปรุงส่วนเล็กๆ ให้ดีขึ้น
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 5 วิธีการทดสอบง่ายๆ ที่จะทำให้ Conversion Rate ของคุณเพิ่มขึ้น วิธีการเหล่านี้ สามารถเริ่มต้นทำได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก
ถ้าพร้อมแล้ว มาอ่านไปพร้อมๆ กันเลยครับ!
ยาวไป อยากเลือกอ่าน?
1. ทดสอบปรับเปลี่ยน Call to Action (CTA)
CTA ก็เปรียบเสมือนพนักงานขายของคุณในโลกออนไลน์ ที่จะชักชวนให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
ปุ่ม CTA อย่าง “ซื้อเลย”, “ลงทะเบียน”, “ติดต่อเรา” หรือ “ขอคำปรึกษาฟรี” นั้น มีบทบาทสำคัญมากกว่าที่คุณคิด
พวกมันไม่ใช่แค่ปุ่มธรรมดาๆ แต่เป็นจุดตัดสินใจสำคัญที่จะเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า
เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างความสนใจและการตัดสินใจซื้อ หากสะพานนี้สั่นคลอนหรือไม่น่าไว้วางใจ ลูกค้าก็จะไม่กล้าข้ามไป
ทดสอบข้อความบน CTA
ลองนึกภาพว่ามีคนกำลังเดินอยู่ในห้าง และมีพนักงานขายสองคนจากสองร้านส่งเสียงเรียก
คนหนึ่งพูดว่า “ลองมาดูสินค้าที่น่าสนใจก่อน”
อีกคนหนึ่งพูดว่า “ลองมาสัมผัสประสบการณ์พิเศษได้ที่นี่!”
คุณคิดว่าคนคนนั้นจะเลือกเข้าร้านไหน?
คำตอบคือ “ไม่รู้”
ไม่รู้ว่าอะไรดีกว่าจนกว่าจะทดสอบ
ในความเห็นของผม CTA ที่ดีควรจะต้องกระชับ ชัดเจน ตรงประเด็น
อยากให้ซื้อ ลงทะเบียน ติดต่อเรา ก็บอกให้ชัดๆ ไปเลย
นอกจากนั้นแล้วการเพิ่มความเร่งด่วน เช่น “รับสิทธิ์ภายในวันนี้” หรือการเน้นย้ำว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นไม่มีความเสี่ยง เช่น “เริ่มต้นใช้งานฟรี – ไม่มีข้อผูกมัด” ก็เป็นอันที่น่าสนใจที่สามารถเอาไปใช้ทดสอบได้เช่นเดียวกัน
ทดสอบ Visual ของ CTA
นอกจากข้อความแล้ว Visual อย่าง สี ขนาด และตำแหน่งของปุ่ม CTA ก็สำคัญไม่แพ้กัน
สีที่โดดเด่นและตัดกับพื้นหลังจะดึงดูดความสนใจได้มากกว่า ลองทดสอบปุ่มสีแดงเปรียบเทียบกับสีเขียวหรือสีน้ำเงิน (และมี Background สีอ่อน) เพื่อดูว่าสีไหนที่กลุ่มเป้าหมายของคุณตอบสนองดีที่สุด
ขนาดของปุ่มก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ปุ่มที่ใหญ่เกินไปอาจดูน่ารำคาญ แต่ปุ่มที่เล็กเกินไปก็อาจถูกมองข้ามได้ง่าย การทดสอบปุ่มขนาดต่างๆ จะช่วยให้คุณพบจุดสมดุลที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ
นอกจากนี้ ตำแหน่งของปุ่ม CTA ก็ควรอยู่ในจุดที่เห็นได้ชัดโดยไม่ต้องเลื่อนหน้าจอลงมากเกินไป
ตัวอย่างการทดสอบ CTA จาก Going


Going บริษัทที่ขายดีลสำหรับการเดินทาง เปลี่ยนสีและคำพูดใน CTA จากคำว่า Sign Up for Free (สีขาว) เป็น Trial for Free (สีเขียว) ซึ่งส่งผลให้ Conversion Rate สูงขึ้นกว่าเดิมถึง 104%
ปรับนิดเดียว แต่ผลลัพธ์ต่างกันมหาศาล
2. ทดสอบ Offers/Incentives ที่แตกต่างกัน
Offers/Incentives บางอย่าง อาจจะจูงใจคนให้ตัดสินใจได้มากขึ้นหลายเท่า ซึ่งแต่ละสินค้าหรือธุรกิจก็มี Offers/Incentives ที่จูงใจคนได้แตกต่างกัน ซึ่งการทดสอบ Offers/Incentives จะช่วยให้คุณค้นพบว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าของคุณต้องการมากที่สุด
Offers/Incentives สามารถเป็นได้หลายอย่าง เช่น
แพ็คเกจราคาพิเศษ (Bundle)
การเสนอสินค้าหรือบริการเป็น Bundle เช่น สินค้า A ราคา 800 บาท และสินค้า B ราคา 900 บาท แต่คุณจับสินค้า A & B มาขายคู่กันโดยที่ตั้งราคา Bundle อยู่ที่ 1,500 บาท (แทนที่จะเป็น 1,700 บาท)
ซึ่งคุณอาจจะลองทดสอบเอาสินค้า A ไปจับคู่กับสินค้าอื่นได้ เช่น สินค้า C ราคา 850 บาท เมื่อจับ Bundle A & C แล้ว ราคาจะอยู่ที่ 1,500 บาท (แทนที่จะเป็น 1,650 บาท)
จากนั้นคุณก็ลองทดสอบดูว่าระหว่าง A & B และ A & C อันไหนจะสร้าง Conversion Rate ให้ได้มากกว่า
การจัดส่งฟรี

ข้อมูลจาก Data Reportal 2025 ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า Online Purchase Driver ของคนไทยที่สำคัญที่สุดคือ “การจัดส่งฟรี”
คำว่า “ฟรี” มีผลทางจิตวิทยาอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ลูกค้าส่วนใหญ่ยอมซื้อสินค้าเพิ่มเพื่อให้ได้รับสิทธิ์จัดส่งฟรี มากกว่าที่จะจ่ายค่าจัดส่งแม้จะเป็นจำนวนเงินที่น้อยกว่า
ลองทดสอบเงื่อนไขการจัดส่งฟรีที่แตกต่างกัน เช่น “จัดส่งฟรีทุกออเดอร์” เปรียบเทียบกับ “จัดส่งฟรีเมื่อซื้อครบ 1,000 บาท” หรือ “จัดส่งฟรีสำหรับสมาชิก” แต่ละแบบจะมีผลต่อพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างกัน บางเงื่อนไขอาจกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อมากขึ้น ในขณะที่บางเงื่อนไขอาจเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่
ส่วนลดและโปรโมชั่น
ส่วนลดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ยังคงมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นยอดขาย แต่รูปแบบของส่วนลดที่แตกต่างกันก็ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน “ลด 50%” อาจฟังดูน่าดึงดูดกว่า “ลด 500 บาท” แม้ว่าในบางกรณีมูลค่าจริงอาจเท่ากัน
การทดสอบจะช่วยให้คุณค้นพบว่าลูกค้าของคุณตอบสนองต่อการนำเสนอแบบใดมากที่สุด
ลองทดสอบการนำเสนอส่วนลดในรูปแบบต่างๆ เช่น ส่วนลดเปอร์เซ็นต์ vs ส่วนลดเป็นจำนวนเงิน, ส่วนลดทันที vs โค้ดส่วนลดที่ต้องใช้, หรือส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าหลายชิ้น (เช่น ซื้อ 1 แถม 1)
การวิเคราะห์ว่าแบบไหนได้ผลดีกว่ากันจะช่วยให้คุณออกแบบโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้าและคุ้มค่าสำหรับธุรกิจของคุณ
ของแถมและของพรีเมียม
บางครั้งของแถมมูลค่าไม่มากอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะการให้ของแถมสร้างความรู้สึกได้รับคุณค่าเพิ่ม มากกว่าการลดราคาในมูลค่าเท่ากัน
ลองทดสอบการเสนอของแถมที่หลากหลาย ตั้งแต่สินค้าตัวอย่าง (sample) สินค้าที่แจกอย่างเดียวไม่มีขาย หรือบริการพิเศษเพิ่มเติม
ตัวอย่างการทดสอบ Offers/Incentives จาก Nuface

Nuface บริษัทขายเครื่องสำอาง ทำการทดสอบเพิ่มคำว่า “Free Shipping Over $75” เข้าไปในเว็บไซต์ ซึ่งหลังการทดสอบ แค่คำง่ายๆ คำนี้ช่วยทำให้ออเดอร์เพิ่ม 90% และมูลค้าต่อออเดอร์สูงขึ้นถึง 7.32%
3. ทดสอบหัวข้อ (Title)
David Ogilvy เจ้าพ่อโฆษณาระดับตำนานเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าบทความคุณมีมูลค่า 1 ดอลลาร์ หัวข้อมีมูลค่า 80 เซนต์”
ประโยคนี้ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ หัวข้อคือสิ่งแรกที่คนจะเห็น และมันจะเป็นตัวตัดสินว่าพวกเขาจะดูคอนเทนต์ต่อหรือไม่
เทคนิคการเขียนทดสอบหัวข้อ
แนะนำให้ลองเขียนหัวข้อมาหลายๆ แบบก่อน อย่างน้อย 10-20 หัวข้อ แล้วค่อยเลือกหัวข้อที่ดีที่สุด 2-3 หัวข้อมาทดสอบ หัวข้อแต่ละแบบจะใช้เทคนิคการเขียนที่แตกต่างกัน เช่น การใช้ตัวเลข (“7 วิธี…”), การตั้งคำถาม (“คุณรู้หรือไม่ว่า…?”), การใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์ (“ทำให้ธุรกิจของคุณพุ่งกระฉูดด้วย…”), หรือการสร้างความอยากรู้อยากเห็น (“ความลับที่ไม่มีใครเคยบอกคุณเกี่ยวกับ…”)
ความยาวและรายละเอียดของหัวข้อ
อีกเรื่องที่ควรทดสอบคือความยาวของหัวข้อ บางครั้งหัวข้อสั้นกระชับอาจได้ผลดีกว่า ในขณะที่บางกรณีหัวข้อยาวที่ให้รายละเอียดมากขึ้นอาจดึงดูดความสนใจได้ดีกว่า ลองทดสอบหัวข้อสั้น เช่น “เพิ่มยอดขายด้วย SEO” เปรียบเทียบกับหัวข้อยาวที่มีรายละเอียด เช่น “5 เทคนิค SEO ที่จะเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณภายใน 30 วัน โดยไม่ต้องใช้งบโฆษณาเพิ่ม”
ทดสอบหัวข้อในช่องทางที่แตกต่างกัน
หัวข้อเดียวกันอาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละช่องทาง เช่น หัวข้อที่ทำงานได้ดีบน Facebook อาจไม่ได้ผลดีนักใน Email Marketing หรือบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ลองทดสอบหัวข้อหลายๆ แบบในแต่ละช่องทาง เพื่อหาสูตรที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม
ตัวอย่างการทดสอบหัวข้อ (Title) จาก Campaign Monitor

Campaign Monitor บริษัทที่ให้บริการเรื่องการทำ Email Marketing ทำการทดสอบหัวข้อด้วยการเปลี่ยนหัวข้อที่เขียนว่า Create stunning emails เป็น Design stunning emails ผลปรากฏว่า Conversion Rate ของพวกเขาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 31.4%
4. ทดสอบ Content
“Content” คืออีกหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากๆ สำหรับ Conversion Rate
ซึ่ง Content ที่ผมหมายถึงนั้นรวมไปถึงคอนเทนต์ในทุกๆ Format ไม่ว่าจะเป็นบทความบนเว็บไซต์ คำบรรยายในโฆษณา หรือข้อความใน email
การทดสอบเนื้อหาที่แตกต่างกันจะช่วยให้คุณค้นพบว่ารูปแบบไหนที่เข้าถึงและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดีที่สุด
ทดสอบรูปแบบการเขียนที่แตกต่างกัน
ลองเขียนเนื้อหาชิ้นเดียวกันในสองรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น แบบทางการเปรียบเทียบกับแบบ Storytelling เปรียบเทียบกับแบบให้ข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา แล้วดูว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณตอบสนองต่อรูปแบบไหนมากกว่ากัน
บางธุรกิจพบว่าสไตล์การเขียนแบบเป็นกันเองช่วยสร้างความผูกพันได้ดีกว่า ในขณะที่บางธุรกิจได้ผลดีกว่ากับการเขียนที่มีความเป็นมืออาชีพสูง
ทดสอบปริมาณเนื้อหา
คำถามที่นักการตลาดมักสงสัยคือ “เนื้อหาควรยาวแค่ไหน?” คำตอบที่ดีที่สุดคือ “ต้องทดสอบ”
ลองสร้างเนื้อหาสองเวอร์ชันที่มีความยาวต่างกัน เช่น แบบสั้นกระชับ vs แบบยาวละเอียด เพื่อดูว่าแบบไหนให้ Conversion Rate ดีกว่ากัน
ในบางกรณี เนื้อหาที่ยาวและละเอียดอาจสร้างความน่าเชื่อถือและให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกว่า แต่ในบางกรณี เนื้อหาสั้นกระชับอาจเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่มีเวลาจำกัด
ทดสอบโครงสร้างและการจัดวางเนื้อหา
นอกจากตัวเนื้อหาแล้ว การจัดวางและโครงสร้างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ทดลองสลับตำแหน่งของส่วนต่างๆ ในหน้าเว็บ เช่น นำเอาข้อมูลลูกค้ารีวิวขึ้นมาไว้ด้านบน แทนที่จะอยู่ท้ายหน้า หรือทดสอบการใช้หัวข้อย่อยที่มากขึ้นเพื่อแบ่งเนื้อหาให้อ่านง่าย
ทดสอบองค์ประกอบของภาพและวิดีโอ
ภาพและวิดีโอเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของเนื้อหา ลองทดสอบการใช้ภาพแบบต่างๆ เช่น ภาพถ่ายจริง vs ภาพกราฟิก, ภาพคนจริง vs ภาพการ์ตูน หรือทดสอบการใช้วิดีโอเปรียบเทียบกับไม่มีวิดีโอ เพื่อดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ตัวอย่างการทดสอบ Content จาก Swissgear

Swissgear บริษัทผลิตกระเป๋าเดินทาง ได้ทำการทดสอบคอนเทนต์ด้วยการพยายาม Bold คำว่า Special Price: $29.99 ให้เด่นขึ้นมา ผลปรากฏว่ามันทำให้ Conversion Rate เพิ่มขึ้น 52% ในช่วงเวลาปกติ และเพิ่มสูงถึง 137% ในช่วง Holiday Season
5. ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย (Audience) ที่แตกต่างกัน
การทำการตลาดโดยพุ่งเป้าไปที่ “ทุกคน” เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองงบประมาณและมักได้ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า การแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) และทดสอบประสิทธิภาพของแคมเปญกับแต่ละกลุ่มจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของธุรกิจคุณ
การทดสอบ Segmentation ตามข้อมูล Demographic
เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการแบ่งกลุ่มตามข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุ เพศ ที่อยู่ การศึกษา และรายได้ แล้วทดสอบว่าโฆษณาหรือแคมเปญการตลาดของคุณได้ผลดีกับกลุ่มไหนมากที่สุด
แล้วคุณอาจพบว่าสินค้าของคุณได้รับความสนใจจากกลุ่มที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ออกแบบมาสำหรับผู้หญิงอาจได้รับความสนใจจากผู้ชายกลุ่มหนึ่งมากกว่าที่คาดไว้
การทดสอบ Segmentation ตาม Behavior
การแบ่งกลุ่มตาม Behavior อาจให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่ามากกว่าการแบ่งตาม Demographic ลองทดสอบแคมเปญกับกลุ่มที่มีพฤติกรรมต่างกัน เช่น:
- ลูกค้าที่เคยซื้อแล้ว vs ลูกค้าใหม่
- คนที่เข้าชมเว็บไซต์บ่อย vs คนที่เพิ่งเข้ามาครั้งแรก
- คนที่เคยตอบสนองกับโปรโมชั่นในอดีต vs คนที่ไม่เคยใช้โปรโมชั่น
การทดสอบ Segmentation ตาม Interest
แต่ละคนมีความสนใจที่แตกต่างกัน แม้จะอยู่ในกลุ่มอายุและมีพฤติกรรมการซื้อคล้ายกัน ลองทดสอบการแบ่งกลุ่มตามความสนใจ โดยใช้ข้อมูลจาก Social Media Marketing หรือ Google Ads ที่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามความสนใจได้ เช่น คนที่สนใจเรื่องการเงินการลงทุน, คนที่สนใจเทคโนโลยีล่าสุด, หรือคนที่สนใจการท่องเที่ยวผจญภัย
ตัวอย่างการทดสอบ Audience ของ Red Wagon

บริษัท Red Wagon ที่ขายสินค้าสำหรับเด็ก ทำการทดสอบการยิงโฆษณา Facebook ด้วยการยิงโฆษณาหา Audience ที่แตกต่างกัน โดยที่ตัว Audience มี 1. Audience แบบกว้างๆ 2. Lookalike Audience 3. ผสมกันระหว่าง Audience แบบกว้างๆ, Lookalike Audience และ Custom Audience
ซึ่งผลปรากฏว่าแบบที่ 3 ช่วยทำให้เพิ่มยอดขายมากกว่าเดิม 77% และทำให้ค่าใช้จ่ายในการยิงโฆษณาเพื่อทำให้เกิดการซื้อน้อยลงกว่า 43%
สรุปการเพิ่ม Conversion Rate
การทดสอบทั้ง 5 รูปแบบข้างต้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Conversion Rate ให้ดีขึ้น
สิ่งสำคัญคือการทำอย่างเป็นระบบ มีการบันทึกผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อมูล และนำบทเรียนที่ได้ไปปรับปรุงในรอบถัดไป จำไว้ว่าการทดสอบไม่ใช่งานครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน
ลองเริ่มต้นด้วยการเลือกหนึ่งหรือสองการทดสอบที่คุณคิดว่าจะให้ผลกระทบมากที่สุดและเริ่มลงมือทำวันนี้ เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะสะสมความรู้และข้อมูลที่จะช่วยให้การตลาดดิจิทัลของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และธุรกิจของคุณจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของ Conversion Rate อย่างต่อเนื่อง
จำไว้ว่าทุกธุรกิจมีความแตกต่างกัน สิ่งที่ได้ผลดีสำหรับธุรกิจหนึ่งอาจไม่ได้ผลสำหรับอีกธุรกิจหนึ่ง คุณต้องลองหาท่าที่เวิร์คกับธุรกิจของคุณด้วยตัวคุณเอง
สุดท้าย ผมหวังว่าเนื้อหาในบทความนี้จะช่วยให้คุณเพิ่ม Conversion Rate ให้กับสินค้า บริการ หรือธุรกิจที่คุณทำอยู่ได้นะครับ :)