วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังการ Rebranding ของ Content Shifu ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวซักเล็กน้อย สวัสดีทุกคนค่ะ ปิ่น เป็น UX/UI Designer จาก Magnetolabs ที่ได้รับมอบหมายในงานรีแบรนด์ Content Shifu ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มโลโก้และ Corporate Identity (CI) ทั้งหมด ไปจนถึง UX/UI ของเว็บไซต์ที่ปล่อยออกมาให้ทุกคนเห็นกันในตอนนี้
เราคงเถียงไม่ได้ว่า เวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำว่า ‘ทันสมัย’ เพราะทุกอย่างต้องมีการพัฒนา เว็บไซต์เราเองก็เช่นกัน วันนี้เราเลยอยากจะมาแชร์วิธีการรีแบรนด์ตั้งแต่เริ่มตั้งไข่ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ออกมาเสร็จสมบูรณ์ให้ทุกคนเห็นกันวันนี้ ว่าเรามีวิธีในการคิดและวางแผนกันอย่างไรบ้างก่อนจะมาเป็น Content Shifu โฉมใหม่
บทความนี้จะมาเล่าเบื้องหลังการรีแบรนด์ Content Shifu ระหว่างทางมีองค์ประกอบที่ต้องทำหลากหลายเรื่อง เรามาติดตามไปด้วยกันนะคะ
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
การออกแบบโลโก้
ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ โลโก้ก็คือหน้าตาของแบรนด์เช่นกัน เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวตนของแบรนด์นั้นจะสื่อออกมาผ่านเพียงแค่โลโก้ชิ้นเดียว ทั้ง ฟอร์ม สี รวมถึง ฟอนต์ก็ด้วยเช่นกัน บ่งบอกถึงภาพลักษณ์ของตัวแบรนด์แทบทั้งหมด ฉะนั้นโลโก้สำคัญมากแทบจะที่สุดเลยด้วยซ้ำไป เราจึงทุ่มเทและให้เวลากับส่วนนี้เยอะพอสมควร
ตีโจทย์ความหมายของโลโก้
Content Shifu (คอนเทนต์ ชิฝุ) Shifu (师傅) เป็นคำภาษาจีน มีความหมายว่า Practitioners / Skilled person หรือผู้มีทักษะ มีประสบการณ์ลงมือปฏิบัติ เราคือเว็บไซต์คอนเทนต์ที่ให้ความรู้ และสร้างให้คนมีทักษะดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น
ด้วยความที่ชื่อและโลโก้เดิมนั้นมีความเป็นจีนค่อนข้างมากจากชื่อ โลโก้และ Look & Feel เดิม ที่สื่อถึงความจีน เราจึงเริ่มจากการหาข้อมูลและ Element ต่างๆ ที่มีกลิ่นอายความเป็นจีนอยู่
Sketch & Develop
เริ่มต้นจากสเกตช์ลงกระดาษให้เยอะเท่าที่จะนึกออก (Start with Quantity) และเลือกไอเดียที่คิดว่ามันน่าจะเวิร์กมาลองวาดลองวางในคอมดู เพราะบางทีเราวาดด้วยมือลงกระดาษ มันอาจจะเวิร์กแค่ในกระดาษเราก็ได้ พอลองวาดในคอมดูปุ๊บ กลายเป็นไม่เหมาะกับความเป็นกราฟิกขึ้นมาซะอย่างนั้น หรืออีกวิธีคือสเกตช์แค่คร่าวๆ ในกระดาษ และลองทำจริงเลยในคอม
ตัวอย่างสเกตช์ที่อยู่ในกระดาษ
หยิบมาลองวาดในคอม
เมื่อสเกตช์ได้ระดับหนึ่ง เราก็จะนำมา Mock up กับหน้าเว็บไซต์เพื่อดูความเหมาะสมและข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบอีกหนึ่งที
นี่คือวิธีที่เราใช้ อาจจะดูไม่โปรมาก แต่เราว่า มันทำให้งานเร็วขึ้น และเราจะไม่มัวไปเสียเวลานั่งลงรายละเอียดกับอะไรที่ไม่จำเป็นอีก เช่น สเกตช์ให้สวยให้เหมือนจริงที่สุด สวยแค่ไหนก็ต้องมาทำต่อในคอมอยู่ดี
ที่มาของการออกแบบโลโก้
จากพู่กันจีน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนตัวอักษรจีน เราลองเปลี่ยนผ่านจากจุดเริ่มต้นมาเป็นปลายทางของพู่กัน ซึ่งก็คือการใช้ตัวอักษร ซึ่งปิ่นคิดว่าการใช้ตัวอักษรน่าสนใจเพราะลวดลายหรือลายเส้นกราฟิกสามารถนำมาใช้สื่อความหมายและอารมณ์ความรู้สึกได้
และนี่คือโลโก้สุดท้ายที่เราได้ออกมา
ความหมายที่ซ่อนอยู่มีสองความหมายค่ะ
- ปิ่นเอาคำว่า SHIFU มารวมร่างและดัดแปลงให้มีหน้าตาดูคล้ายตัวอักษรจีน
- รูปร่างที่ได้ออกมา เมื่อนำเขามาใส่ในวงกลม หน้าตาที่ได้ทำให้ดูเหมือน ‘ครั่ง’ หรือตราประทับหน้าซองจดหมาย
เพราะเราคือผู้ส่งสาร และก่อนส่งเราตรวจตราความถูกต้องและเราใส่ใจทุกขั้นตอนจนถึงมือผู้อ่าน จึงเป็นที่มาของครั่ง หมายถึง เราบรรจุสารที่มีคุณค่า และปิดผนึกมันอย่างประณีต ก่อนจะส่งให้คุณคนอ่านได้เสพกันอย่างถูกต้องและแม่นยำที่สุด
สำหรับเรา โลโก้ที่ดีไม่ได้มีแต่ความสวยเท่านั้น เราให้ความสำคัญกับความหมายของมันมากที่สุดด้วย
Design System สำคัญไม่แพ้โลโก้
การทำงานเว็บไซต์ ไม่เหมือนการทำโปสเตอร์หรืองานดีไซน์ที่สามารถจบได้ในดีไซน์เนอร์เพียงคนเดียว เพราะเราต้องทำงานร่วมกับเป็นทีมกับ Developer ซึ่งเป็นปัญหาที่เราประสบกันบ่อยมาก คือ Designer และ Developer สื่อสารไม่เข้าใจกัน เพราะเราคิดกันคนละแบบ เพราะฉะนั้น Design System คือสิ่งที่จะมาช่วยเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ไม่ต้องมานั่งเถียงกันอีกต่อไป
Design System คืออะไร
Design คือ งานออกแบบ System คือ ระบบ นั่นแปลว่า ‘ระบบของงานดีไซน์’ เพราะในงานเว็บไซต์มีหลายองค์ประกอบ มีทั้ง Color (สี) Font (ตัวหนังสือ) Image (รูปภาพ) ที่เป็นส่วนประกอบของเว็บทั้งหมด เพราะฉะนั้น Design System จะสร้างความเข้าใจที่ตรงกันให้ทั้งสองฝ่าย เปรียบเสมือนแผนที่นำทางให้ทั้งทีมที่ทำงานร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน
Color (สี)
สีสามารถบอกอะไรได้หลายอย่างมากๆ ทั้งความหมาย ความรู้สึก รวมถึงบอกตัวตนทั้งหมดของแบรนด์ โจทย์คือเราอยากดูโตและดูโมเดิร์นขึ้น ฉะนั้นเราจึงพยายามหาสไตล์การใช้สีที่จะสามารถเล่าตัวตนของเรา และสามารถสื่อคาแรกเตอร์ในแบบที่เราอยากเป็นให้ได้
สีเดิมของ Content Shifu คือสีน้ำเงินและแดง ใช้คู่กันมาตลอดทั้งแบบ Gradient (ไล่สี) และ Solid (ไม่ไล่สี) จนเป็นที่จดจำของแบรนด์ไปแล้ว ทำให้สิ่งที่คิดในตอนแรกเลย คือไม่อยากทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ของแบรนด์หายไป ยังอยากจะใช้คู่สีเดิมอยู่
แต่ทีนี้ปัญหาในเรื่องของสี คือ ‘ความตุ่น’ ของสีน้ำเงินและแดง (สีตุ่น เรียกอีกอย่างว่าสีผสมเฉดดำ) พอนำมาไล่สีกันแล้ว เนื่องจากสีที่เป็นคู่ตรงข้ามกันเลยทำให้พอเจอกันมันออกมาไม่สดใสและดูช้ำ
ทางออกของปัญหานี้คือ เราปรับให้โทนสีสว่างขึ้น เป็นน้ำเงินที่สดใสเพิ่มความเป็นดิจิทัลมากขึ้นด้วยการใช้ Gradient อยู่ แต่เพิ่มสีม่วงเข้ามาเป็นตัวช่วยเชื่อมไม่ให้เจอกับสีแดงโดยตรง ทำให้มันสมูทมากขึ้น ชูสีน้ำเงินและม่วงขึ้นมามากขึ้น และลดการใช้ปริมาณสีแดงลง เป็น 80/20 ทำให้ทุกอย่างดูไปในทางเดียวกันมากขึ้น มีความรู้สึกใหม่ เพราะสีที่สดใสขึ้น และรู้สึกดิจิทัล นำสมัยมากขึ้น ไม่ตุ่นจนรู้สึกเก่าอีกแล้ว
ในส่วนของความหมายของสี ก็มีเช่นกัน
- สีน้ำเงิน หมายถึง ความน่าเชื่อถือ
- สีม่วง หมายถึง พลัง/ปัญญา
- สีแดง หมายถึง Passion
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมายของสีได้ที่บทความสีนั้นสำคัญไฉนกับ Marketing
Font (ตัวหนังสือ)
ตัวหนังสือ ก็ต้องลงดีเทลเช่นกัน เราพยายามหาแบบฟอนต์กันนานพอตัว เลือกแล้วเลือกอีกเปลี่ยนไปมาจนเหมาะกับภาพลักษณ์ใหม่ที่เราต้องการจริงๆ และด้วยความที่พี่โบ Design Director ของเราที่มีตาเหยี่ยว ฟอนต์ไหนเบี้ยวสวยไม่สวย ไม่ผ่าน QC โดนตัดออกไป จนสรุปที่ฟอนต์ภาษาอังกฤษ เราใช้ Museo Sans และ ภาษาไทย DB Heavent ซึ่งยอมเสียเงินซื้อฟอนต์กันเลยทีเดียว เพื่อหน้าตาที่ดี อยากสวยก็ต้องลงทุนกันหน่อยใช่ไหม 🙂
Image (รูปภาพประกอบเว็บไซต์)
รูปภาพที่ใช้ในเว็บไซต์เป็นอีกอย่างที่ต้องมีการกำหนดทิศทางการใช้ให้ไปในทางเดียวกัน ไม่มั่วซั่ว เพราะมันจะง่ายกับคนที่ทำกราฟิก ทั้งคนที่ทำอยู่และคนที่จะมาทำต่อ
ในเว็บเราจะมีการกำหนดอยู่สามรูปแบบคือ 1. Illustrator (ภาพวาด) 2. Portrait (ภาพคน) 3. Photograph (ภาพถ่าย)
โดยจะมีการกำหนดรูปแบบของกราฟิกที่ใช้ โทนสี และสไตล์การแต่งรูปให้เหมาะสม และเข้ากับตัวเว็บ ไม่แตกเหล่าแตกกอกัน ทำให้ไม่ว่ารูปนั้นจะถูกแชร์ไปที่ไหนก็ตาม มันจะยังคงแบกความเป็น Content Shifu ไปด้วยตลอดเวลา และนั่นคือสิ่งที่เราอยากจะให้เป็น
Unity (ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว)
เมื่อเราดีไซน์และวางแผนไว้ทุกองค์ประกอบแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องเอาทุกอย่างมาวางและประกอบกัน และดูว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมั้ย ทั้งภาพประกอบ เว็บไซต์ และองค์ประกอบอื่นๆ
เข้าสู่ขั้นตอนทำ Website ได้ (UX&UI)
ก่อนจะสวย ต้องใช้งานง่ายก่อน (UX)
ก่อนจะเริ่มดีไซน์ ในส่วน UX นี้ถือว่าเราให้เวลากับมันค่อนข้างเยอะพอสมควรเลย เพราะผลผลิตที่ดีต้องเริ่มจากพื้นฐานที่ดีก่อน
ตัวอย่างของการทำ UX เช่น การทำความเข้าใจ Persona การทำความเข้าใจเว็บไซต์อื่นๆ ในธุรกิจเดียวกัน การออกแบบ User Journey การออกแบบ Site Structure เป็นต้นในทุกๆ ส่วนที่เราออกแบบเราได้สร้าง User Journey ของเราได้ใช้งานได้อย่างสะดวก
ทำความเข้าใจ Persona
ก่อนหน้าที่ปิ่นจะกระโดดเข้ามาทำงานในวงการเว็บดีไซน์ ก็ไม่รู้จักสิ่งนี้อย่างจริงจังมาก่อน ว่า Persona คืออะไร แต่ตอนนี้กลับชอบทั้งกระบวนการในการทำและวิธีใช้ของมันเอามากๆ เพราะมันสามารถนำไปใช้ในงานเราทั้ง UX และ UI ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เปรียบเสมือนเป็นเข็มทิศนำทางให้เราไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและตรงเป้าหมายมากที่สุด
การทำ Persona คือการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายหรือคนที่จะเข้ามาใช้งานเว็บไซต์หรือผลิตภัณฑ์ของเรา ว่าคาแรกเตอร์ของเขาจะเป็นคนประมาณไหน ชอบไม่ชอบอะไร ลักษณะนิสัยเป็นคนยังไง ทำให้เราสามารถเดินเกมได้ถูกจุด รู้ว่าจะต้องทำอะไร เพื่อใคร
อันที่จริงแล้ว Persona มีหลากหลายรูปแบบมาก แล้วแต่ว่าผลิตภัณฑ์ไหนเหมาะจะมีหัวข้ออะไรบ้างที่จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ใกล้มากที่สุด กับธุรกิจอื่นๆ ก็อาจมี Persona ที่แตกต่างกันออกไป
วิเคราะห์เว็บไซต์อื่นๆ ในธุรกิจเดียวกัน (Competitor Analysis)
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก่อนจะเริ่มลงสนาม เราควรวิเคราะห์ก่อนว่าในสนามหรือในตลาดตอนนี้มีใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรไว้แล้วบ้าง เขามีข้อดีข้อเสียอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไรให้เกิดจุดแข็งและความแตกต่าง
แต่ในสายการตลาดคงคุ้นเคยกับการวิเคราะห์คู่แข่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่การวิเคราะห์ครั้งนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ทเรื่อง Marketing เลย เป็นการวิเคราะห์ในเชิง UX และ UI เพื่อหาแนวทางในการออกแบบ ทั้ง UX และ UI โดยตรง ซึ่งก่อนจะเริ่ม พี่อรของเราก็ได้วางแผนว่าจะต้องวิเคราะห์คู่แข่งทางตรง (Direct Competitor) และคู่แข่งทางอ้อม (Indirect Competitor) ก่อน
- Direct Competitor
คู่แข่งทางตรงของเรา คือคู่แข่งที่ทำธุรกิจคล้ายกับเรา มาดูว่าเขาทำอะไรอยู่บ้างและเราจะทำอะไรให้แตกต่างและสร้างจุดเด่นให้กับตัวเราเอง
- Indirect Competitor
คู่แข่งทางอ้อม คือคู่แข่งที่ไม่มีผลกับเรามากนักเช่นตลาดเมืองนอกหรือคนละธุรกิจแต่ก็ยังมีความใกล้เคียง หรือสิ่งที่เราสนใจอยากจะนำมาวิเคราะห์ถึงข้อดีและข้อเสียของเขาไม่ว่าจะในด้าน UX หรือ UI ก็ตาม
โดยการวิเคราะห์ทั้งสองคู่แข่งนี้ เราจะวิเคราะห์ถึงการใช้งาน ข้อดีข้อเสียในด้าน UX/UI เท่านั้น สิ่งนี้จะทำให้เรามีเหตุผลในการออกแบบมากขึ้น ไม่มาเถียงกันว่าแบบนี้ดีแบบนี้ไม่ดี ทำให้ทุกการออกแบบเรามีเหตุผลรองรับกับมัน
ออกแบบ Site Structure และ User Journey
เราต้องวางภาพรวมของเว็บไซต์เราทั้งหมด สิ่งไหนที่ Persona เราต้องการ อันไหนจำเป็นหรือไม่จำเป็น การเรียงลำดับความสำคัญ ว่าเราอยากจะชูอะไรมากที่สุด และอะไรรองลงมา จะทำให้ User ถูกพาไปตามเส้นทางที่เราวางแผนไว้ ทำให้ทั้งเขาและเราไม่หลุดออกจากเส้นทาง สร้างความเข้าใจที่ตรงกันและสื่อสารกันได้ถูกจุด
เริ่มวาด Wireframe
เมื่อวางหน้าหลักครบแล้ว ก็เริ่มวาดเพื่อให้เห็นภาพ ใส่รายละเอียดของแต่ละหน้าเพื่อให้เห็นถึงข้อมูลที่จะแสดงในแต่ละหน้าว่ามีอะไรบ้าง และยังไม่ต้องคิดถึงความสวยงามใดๆ ทั้งสิ้น จงคิดถึงแต่การใช้งานที่ง่ายและเข้าใจเท่านั้น
- หา Reference
ไปดูว่าเขาทำอะไรกันที่มันเวิร์ก การจะข้อมูลแบบไหนที่ทำให้คนเข้าใจได้อย่างง่ายได้ รวมถึงวิธีไหนที่เวิร์กละเราสามารถนำมันมาปรับใช้กับงานของเราได้บ้าง - Sketch ลงกระดาษก่อน
อาจจะไม่ต้องวาดให้สวยที่สุด แต่ต้องเข้าใจที่สุดก่อน ว่าเราจะวางอะไรยังไงไว้ตรงไหนบ้าง ก่อนจะเริ่มลงในโปรแกรมต่างๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งแก้นานๆ ถ้าเราทำไปแล้ว
เริ่มวาดจริงๆ ซักที
เย้ ในที่สุดก็เริ่ม Wireframe ซักที จะเห็นได้ว่ามันมีหลายขั้นตอนมาก กว่าจะมาถึงส่วนนี้ เพราะถ้าเราวางแผนรอบคอบเราก็จะผิดพลาดน้อยที่สุด และเราก็อยากจะผิดพลาดให้น้อยที่สุด ในส่วน Wireframe นี้เราใช้ โปรแกรม Balsamiq ในการทำ Wireframe ในครั้งนี้ เพราะมันจะทำให้ดีไซน์เนอร์อย่างเราไม่ไปจดจ่อกับความไม่เท่ากันหรือความสวยงามจนเกินไป เพราะเข้าใจเหล่าดีไซน์เนอร์ทั้งหลาย ถ้าไม่สวยไม่เป้ะมันจะหงุดหงิดมาก…เราก็เป็น ฮ่าๆ
พี่โบบอกไว้ว่า “UX ไม่ใช้การ Invent สิ่งใหม่ แต่คือการนำสิ่งที่ผู้ใช้คุ้นเคยอยู่แล้วมาใช้” คือไม่ต้องให้คนใช้มานั่งเรียนรู้ใหม่ว่าใช้งานอย่างไร ถึงจะเรียกได้ว่าเป็น UX ที่ดี ถ้าคนใช้งงไม่รู้ว่าควรต้องทำอะไรต่อก็เท่ากับ Fail
สร้าง UI ของเว็บไซต์
“ความสวยคือ Subjective เราควรจะดูว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ”
เริ่มมาด้วยประโยคสุดอลังการ จากพี่แบงค์ ของเรา ซึ่งก็เห็นด้วยกับประโยคนี้ ความเหมาะสมคือสิ่งที่ควรคำนึงมากที่สุด ส่วนความสวยงามคือเรื่องของปัจเจกบุคคล เพราะเราทุกคนมีความชอบที่ต่างกัน
ถึงตรงนี้ทุกคนคงอ่านมากันจนเหนื่อย จะบอกว่าเราถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เย้ ก่อนจะมาเป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเห็นกันอยู่ตอนนี้ เราก็ยังคงมีกระบวนการก่อนสุดท้ายก่อนจะออกมาเป็นดีไซน์ในที่สุด
ความพยายามครั้งที่ 101
วันนี้อยากมาแชร์การเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่มีใครทำถูกในครั้งแรก ในครั้งแรกตอนเริ่มดีไซน์หน้าเว็บไซต์ ทำอะไรผิดไปหมดไม่เหมาะสม สัดส่วนไม่ได้ไปหมด แต่ทุกครั้งที่ผิดพลาดเราก็จะมีการเรียนรู้ที่มากขึ้นเสมอ เรียกได้ว่ากว่าจะออกมาสรุปที่ดีไซน์นี้ ก็สู้กันมาจนเหนื่อยอยู่เหมือนกัน
เราไม่รู้ว่าครั้งไหนที่จะสำเร็จ อาจจะเป็นครั้งที่ 101 ก็ได้ หากเราไม่หยุดที่จะพยายาม
อย่าลืมว่ายุคนี้ Mobile first
ทุกวันนี้เรามีหลากหลายอุปกรณ์มากในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือที่ทุกคนมีเป็นอวัยวะที่ 33 ไปแล้ว ขนาดหน้าจอในการแสดงผลที่ต่างกัน การออกแบบให้รองรับ Responsive จึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหน้าตาของทั้ง Desktop และ Mobile ก็จะไม่ต่างกัน สิ่งที่ต่างคือการจัดข้อมูล และขนาดของฟอนต์ ขนาดจอที่เล็กลง ฟอนต์ก็จะใหญ่ขึ้นเพื่อให้อ่านง่ายมากขึ้น หรือการย่อข้อมูลหรือยุบรวมกันเพื่อลดความรกของข้อมูล
สิ่งที่ทำได้และทำไม่ได้
เชื่อว่าดีไซน์เนอร์ทุกคน มีจินตนาการที่มากมาย คิดนอกกรอบ และอยากให้งานออกมาสวยที่สุด ปิ่นก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ที่คิดว่ามันจะเหมือนกับการออกแบบกราฟิกทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วงานเว็บไซต์ค่อนข้างมีข้อจำกัดเยอะพอสมควร เช่น ปกติเราออกแบบทุกอย่างหรือวางทุกอย่างด้วยการกะด้วยสายตา แต่สำหรับเว็บแล้ว ต้องคิดในระบบกริด ต้องแบ่งทุกอย่างออกให้เป็นกลุ่ม หรือเอฟเฟคบางอย่างที่ไม่สามารถทำออกมาได้จริง
ฉะนั้นเราจึงควรสื่อสารกับ Developer ตลอดก็จะดี ว่าถ้าออกแบบมาแบบนี้ในแง่การทำจริงมันสามารถเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และในฐานะ UX/UI Designer เองก็ควรจะมีความรู้ในเรื่องเขียน Code บ้าง นั่นจะทำให้เราเข้าใจการทำงานของ Developer มากขึ้นและเราเองก็จะสามารถออกแบบได้รองรับกับเทคโนโลยีปัจจุบันที่สามารถทำให้งานที่เราออกแบบสามารถใช้งานจริงได้ด้วยเช่นกัน
สรุป
การรีแบรนด์ ไม่ได้มีจุดประสงค์แค่เรื่องให้สวยงามขึ้นเท่านั้น แต่มันคือการเปลี่ยนแปลง การเติบโตขึ้น เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น เพิ่มมูลค่า สร้างความน่าเชื่อถือ แต่ทั้งหมดก็จะยังไม่หยุดอยู่เท่านี้แน่นอน เราจะพัฒนากันต่อไป จากคำติและชมจากผู้ใช้งานชาว Content Shifu ของเรา และถ้ามีอะไรใหม่เราจะมาอัปเดตให้ทุกคนฟังอีกแน่นอน
ตาคุณแล้ว
หวังว่าทุกท่านจะชอบบทความแรกนี้ของปิ่นนะคะ ฝากทุกท่านติชมได้ที่กล่องแสดงความเห็นด้านล่างได้เลยค่ะ อะไรดีไม่ดีหรือสิ่งไหนที่ปรับปรุงเพิ่มได้อีก เรายินดีรับฟังและพร้อมที่จะพัฒนาขึ้นไปให้ดีขึ้นยิ่งขึ้นต่อไปค่ะ : )
เราอยากบอกว่า ถ้าคุณสนใจร่วมงานกับ Content Shifu บทความนี้ คือ บทความที่เราอยากให้คุณอ่านมากๆ เพราะบทความนี้ได้บอกเล่า ‘หัวใจ' ในการทำงานของเราไว้แล้ว
Contetn Shifu Team