เป้าหมายหลักของการสร้างเว็บไซต์คือการทำให้คนทั่วไปเห็นว่าธุรกิจของคุณสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างไร ด้วยการเขียนบทความให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมการค้นหาของ Google หรือที่เรียกกันว่า Search Engine Optimization ที่จะทำให้คนเห็นเว็บไซต์ของคุณเป็นลำดับแรกๆ เมื่อทำการค้นหาผ่าน Google 

แต่หากโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณยังคงยุ่งเหยิงจนอัลกอริทึมของ Google ไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์ของคุณกับคำที่ต้องการค้นหา การทำ Search Engine Optimization กับเว็บไซต์ของคุณก็จะไม่ได้ผลแต่อย่างใด โดยสิ่งที่จะทำให้อัลกอริทึมของ Google มองเห็นเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่พบเห็นของคนทั่วไปมากขึ้นคือการจัดระเบียบเว็บไซต์ของคุณด้วย Pillar Pages

ดึงดูดคนให้เข้าเว็บด้วย Pillar Pages

Pillar Pages คือ หน้าเว็บไซต์หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะ โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุมถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ และมีการเชื่อมโยงไปยังคอนเทนต์ต่างๆ ในประเด็นเดียวกันที่อยู่ภายในเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถเข้าไปชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านช่องทางเชื่อมต่อภายใน Pillar Page

Shifu แนะนำ

ตัวอย่าง Pillar pages ของ The Atlantic

ตัวอย่างของ Pillar Page ที่คิดว่าทำได้ดีมาก คือ Population Healthier ของ The Atlantic 

ตัวอย่างการทำ Pillar pages - Content Shifu

ตัวอย่างหน้าเว็บ Inbound Marketing ที่มีลักษณะของ Pillar Page ย่อมๆ อยู่ภายในเว็บ 

โดย Pillar Page จะช่วยทำให้หน้าเว็บไซต์และคอนเทนต์ภายในเว็บไซต์ของคุณถูกจัดระเบียบเป็นกลุ่มๆ ในรูปแบบของ Topic Cluster ซึ่งจะประกอบไปด้วย Pillar Page ที่เป็นหน้าเว็บไซต์กลางที่เป็นสรุปประเด็นที่ต้องการจะสื่อสารกับบุคคลภายนอก ในขณะเดียวกัน Pillar Page ก็จะรวบรวมช่องทางเชื่อมต่อไปยังคอนเทนต์ต่างๆ ภายในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักของ Pillar Page ผ่านการเชื่อมโยงด้วยสิ่งที่เรียกว่า Hyperlink

Pillar page คืออะไร? การทำ Topic clusters

[ตัวอย่างโครงสร้างของ Topic Cluster ที่ประกอบไปด้วยแกนกลางอย่าง Pillar Page (วงกลมสีดำ) ซึ่งเชื่อมตัวเองเข้ากับหน้าหลัก (Main Page) ของเว็บไซต์ และเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมคอนเทนต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ (วงกลมสีขาว) เข้าด้วยกันด้วยการใช้ Hyperlink ภายใน หรือ Internal Link]

ประโยชน์ที่ได้จากการสร้าง Pillar Page ภายในเว็บไซต์ของคุณคือการช่วยให้ผู้ชมเว็บไซต์ของคุณเห็นภาพรวมของคอนเทนต์ที่คุณต้องการจะนำเสนอ และหากผู้ชมเว็บไซต์ต้องการข้อมูลในเชิงลึก ​Pillar Page จะทำให้เข้าถึงคอนเทนต์ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ Pillar Page จะช่วยทำให้อัลกอริทึมของ Search Engine อย่าง Google เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างคอนเทนต์ในเว็บไซต์ของคุณกับประเด็นที่ต้องการจะนำเสนอ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ และช่วยทำให้เว็บไซต์รวมไปถึง Pillar Page ที่คุณมีจะเป็นเว็บไซต์ลำดับแรกๆ ที่อยู่ในรายการเมื่อทำการค้นหาผ่าน Google อีกด้วย

รูปแบบของ Pillar Pages ท่ีนิยมใช้มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ

1. Resource 

Pillar Page ในรูปแบบนี้คือหน้าเว็บไซต์ที่สร้างมาเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมช่องทางในการไปยังคอนเทนต์อื่นๆ โดยเป็นหน้าเว็บที่รวบรวม Internal Link และ External Link เอาไว้ด้วยกัน 

Pillar pages รวม Resource ของ Colgate

[ตัวอย่างเช่นหน้าเว็บไซต์ว่าด้วยอาการเสียวฟันของ Colgate]

2. 10x Content

Pillar Page ในรูปแบบนี้คือหน้าเว็บไซต์ที่สร้างมาเพื่อเป็นสรุปเนื้อหาทั้งหมดโดยคร่าวของคอนเทนต์ที่คุณต้องการจะสื่อสารกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยมักจะเป็นแหล่งรวมข้อมูลที่สร้างขึ้นโดยธุรกิจของคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าบล็อกหรือโพสต์ในโซเชียลมีเดีย

ตัวอย่าง Pillar page ที่รวมเนื้อหาแบบแน่นๆ ของ Mailshake

[ตัวอย่างเช่นหน้าเว็บว่าด้วยการทำ Email marketing ของ mailshake]

3. Product or Service

Pillar Page ในรูปแบบนี้คือหน้าเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยมีผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจคุณเป็นศูนย์กลาง โดยเชื่อมโยงเข้ากับคอนเทนต์ที่สามารถจูงใจให้ลูกค้าเป้าหมายของคุณได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณต้องการจะขาย

หน้า Pilar page รวมสินค้า/บริการ (Weidert Grou)

[ตัวอย่างเช่นหน้าเว็บว่าด้วยบริการ Inbound marketing สำหรับอุตสาหกรรมของ Weidert Group]

คุณสามารถสร้าง Pillar Page ที่ดีได้อย่างไร

เพราะ Pillar Pages ที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายของคุณมองเห็นธุรกิจของคุณบนโลกออนไลน์ และช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายของคุณใช้เวลาบนหน้าเว็บไซต์ได้นานขึ้น โดยการสร้าง Pillar Page สามารถทำได้ด้วยวิธีการเหล่านี้

การกำหนดหัวข้อคอนเทนต์

ขั้นแรกของการสร้าง Pillar Page คือการกำหนดหัวข้อของคอนเทนต์ที่คุณต้องการจะสื่อสารกับลูกค้าเป้าหมาย เพื่อท่ีจะนำหัวข้อเหล่าน้ีมาสร้างเป็น Pillar Page และจัดโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณให้เป็น Topic Clusters โดยหัวข้อแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ

Broad Topic/Specific Topic

Broad Topic และ Specific Topic จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันคือหัวข้อที่ธุรกิจต้องคุณต้องการให้เป็นที่รู้จักและถูกจัดอันดับในการค้นหาด้วย Search Engine 

โดยความแตกต่างระหว่าง Broad Topic และ Specific Topic คือ Broad Topic คือหัวข้อหลักที่ต้องการสื่อสารกับลูกค้าโดยตรงเพื่อสร้างเป็น Main Pillar Page ของเว็บไซต์ ในขณะที่ Specific Topic คือประเด็นรองลงมาสำหรับนำไปสร้าง Pillar Page สำหรับเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ

Subtopic

Subtopic คือประเด็นย่อยๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Broad Topic หรือ Specific Topic โดยมีหน้าที่ในการขยายรายละเอียดของ Broad Topic หรือ Specific Topic ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

Subtopic เหล่านี้จะกลายเป็นประเด็นที่ต้องการจะสื่อสารของคอนเทนต์ต่างๆ ที่ประกอบเข้าเป็น Topic Clusters ภายในเว็บไซต์ของคุณ

การสร้างคอนเทนต์

เมื่อคุณได้หัวข้อที่คุณต้องการสื่อสารกับลูกค้าเป้าหมายของคุณทั้ง Broad Topic, Specific Topic และ Subtopic เป็นที่เรียบร้อย สิ่งต่อไปที่คุณต้องทำคือการสร้างคอนเทนต์ขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ โดยคอนเทนต์แบ่งได้เป็นสองรูปแบบหลักคือ

บทความ

บทความมีส่วนสำคัญภายในเว็บไซต์ของคุณ เพราะบทความจะเป็นสิ่งที่ตอบคำถามที่ลูกค้าสงสัยเมื่อลูกค้าเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ บทความยังทำให้ลูกค้าเป้าหมายของคุณเห็นว่าธุรกิจของคุณจะตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างไร 

อ่านเพิ่มเติม วิธีการเขียนบทความที่ดีสำหรับธุรกิจของคุณได้ ที่นี่

Premium Content

คอนเทนต์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญคือคอนเทนต์พิเศษที่สามารถดาวน์โหลดได้เช่น Checklist หรือ E-book ซึ่งสามารถสร้างได้จากการนำ Specific Topic เรื่องใดเรื่องหนึ่งมาสรุปเป็นภาพรวมให้ชัดเจน หรือขยายความให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น  

คอนเทนต์เหล่านี้คือเครื่องมือชั้นดีที่ทำให้ธุรกิจของคุณได้ข้อมูลลูกค้าเป้าหมายที่สนใจในผลิตภัณฑ์และบริการของคุณโดยตรง ผ่านการมอบคอนเทนต์เหล่านี้ให้เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ให้ข้อมูลบางอย่างเช่นที่อยู่ติดต่อหรืออีเมล์ให้กับธุรกิจของคุณ

รายงานการตลาดไทย

[ตัวอย่าง “รายงานการตลาด” Download Resource ของเว็บไซต์เราซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดฟรี!]

การวางเลย์เอาต์และเชื่อมคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้อง

หลังจากการสร้างหัวข้อและคอนเทนต์ที่ต้องการให้มีอยู่ในเว็บไซต์เสร็จสิ้น ขั้นตอนต่อไปคือการจัดระเบียบคอนเทนต์ที่คุณมีให้เป็น Topic Clusters โดยมีหลักการง่ายๆ คือ

  • สร้าง Main Pillar Page ด้วย Broad Topic
  • สร้าง Pillar Page โดยใช้ Specific Topics เป็นแกนกลาง
  • เชื่อมโยงคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องเข้ากับ Pillar Page โดยใช้ Hyperlink เป็นตัวเชื่อม
  • เชื่อมโยง Pillar Page ที่มีอยู่ไปหา Main Pillar Page

เมื่อคุณได้ออกแบบโครงสร้างของ Topic Cluster มาแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการจัดระเบียบหน้าเว็บไซต์ของคุณให้เป็นไปตาม Topic Cluster ที่ได้ออกแบบเอาไว้ สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือคุณไม่จำเป็นต้องยัดทุกอย่างลงไปใน Topic  Cluster ของคุณ ขอเพียงแค่ประเด็นสำคัญที่คุณต้องการสื่อสารไปถึงลูกค้า นอกจากนี้โครงสร้างของเว็บไซต์ควรออกแบบให้สามารถใช้งานได้ง่ายและกระชับที่สุด

อ่านเหตุผลว่าทำไมถึงควรออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้เรียบง่ายได้ที่นี่

การสร้าง Conversion Path

สิ่งหนึ่งที่คุณมักคาดไม่ถึงเมื่อทำการสร้าง Pillar Pages คือ การทำให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณได้มีคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาบรรจุอยู่ในเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อย ซึ่ง Conversion Path จะช่วยนำทางให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเข้าถึง Pillar Page ที่คุณสร้างขึ้นมาได้ โดย Conversion Path ที่นิยมใช้สำหรับ Pillar Page มีสองรูปแบบ คือ

Calling-out

Calling-out คือการสร้างทางเชื่อมต่อโดยตรงจาก Navigation Menu ของเว็บไซต์ โดย Calling-out ที่ดีไม่ควรให้ผู้ใช้งานคลิกมากกว่า 2 ครั้ง

Conversion Path - ตัวอย่างวิธีนำคนไปยัง Pillar page

[ตัวอย่าง calling-out ของเว็บไซต์ etuma ซึ่งสามารถเข้าไปที่ Pillar Page ได้จากปุ่ม resources ในทันที]

Call-to-action

อีกรูปแบบหนึ่งคือ Call-to-action ซึ่งมักเป็นลิงก์ที่อยู่ในรูปแบบของรูปภาพพร้อมกับข้อความประกอบ เมื่อผู้ใช้งานคลิกที่ลิงก์แล้วสามารถไปยังหน้าที่ต้องการโดยตรง

ตัวอย่าง call-to-action ของเว็บไซต์ magnetolabs

[ตัวอย่าง call-to-action ของเว็บไซต์ magnetolabs ที่เป็นลิงก์ที่ซ้อนอยู่บนหน้าเว็บเพจอีกทอดหนึ่ง]

ปรับปรุง Pillar Page ให้ดีขึ้นได้อย่างไร

เพราะ Pillar Page ที่ดีที่สุดคือ Pillar Page ที่ถูกปรับปรุงอยู่เสมอ เนื่องจากการที่จะทำให้ Pillar Page ของคุณขึ้นเป็นลำดับต้นๆ เมื่อทำการค้นหาด้วย  Search Engine อย่าง Google คือการปรับปรุงทั้ง Pillar Page และคอนเทนต์ของคุณให้มีความทันสมัยและดึงดูดผู้ใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม

สามวิธีการที่จะช่วยปรับปรุงให้ Pillar Page ของคุณให้ดีขึ้นกว่าเดิมประกอบไปด้วย

1. การเพิ่มความหลากหลายของคอนเทนต์

คุณสามารถเปลี่ยนเนื้อหาในบทความของคุณให้เป็นไฟล์เสียง คลิปวิดีโอ หรือภาพอินโฟกราฟฟิก ที่ช่วยให้อัลกอริทึมของ Search Engine อย่าง Google เห็นถึงรายละเอียดที่มากขึ้นภายใน Pillar Page ของคุณ และยังช่วยให้ผู้ใช้งานใช้เวลาใน Pillar Page ของคุณนานขึ้นกว่าเดิม

2. การมอบคอนเทนต์พิเศษให้กับลูกค้า

การมอบคอนเทนต์พิเศษ เช่น Checklist หรือ E-book ให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ จะเป็นเครื่องมือชั้นดีที่จูงใจให้ลูกค้าเป้าหมายของคุณเข้าเยี่ยมชมหน้า Pillar Pages มากขึ้น และการเยี่ยมชมที่เพิ่มขึ้นก็เป็นการช่วยเพิ่ม Ranking ใน Search Engine ได้ด้วยเช่นกัน

3. การติตตั้ง Heatmap ลงในหน้าเว็บไซต์

เครื่องมือ Heatmap อย่างเช่น Hotjar จะช่วยแสดงให้คุณเห็นว่าผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม Pillar Pages ของคุณมีปฏิสัมพันธ์กับ Pillar Page อย่างไร ข้อมูลที่ได้จาก Heatmap สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุง Pillar Page ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้นกว่าเดิม

สรุป

เป้าหมายหนึ่งในการทำเว็บไซต์สำหรับธุรกิจคือการทำให้ลูกค้าเป้าหมายของคุณเห็นว่าธุรกิจคุณจะตอบสนองต่อปัญหาที่ลูกค้าเป้าหมายของเผชิญ ซึ่งหากลูกค้าเป้าหมายไม่เห็นเว็บไซต์ของคุณ หรือเว็บไซต์ของคุณไม่สามารถตอบปัญหาที่ต้องการได้ เว็บไซด์ของคุณก็มีสภาพไม่ต่างจากหน้าร้านที่รกร้างแต่ประการใด

Pillar Pages คือ วิธีการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการทำให้เว็บไซต์คุณเป็นแหล่งข้อมูลที่สะท้อนพันธกิจและคุณค่าของธุรกิจคุณ และด้วยความช่วยเหลือจาก Search Engine Optimization การสร้าง Pillar Page จะกลายเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผู้คนเห็นธุรกิจของคุณบนโลกออนไลน์มากขึ้น หรือถ้าใครที่สนใจศึกษาเรื่อง Content Marketing เพิ่มเติม คลิ๊กเลย!

New call-to-action