Blog

เข้าใจให้ขาด ก่อนคิดจะขาย Consumer Insight: จุดตั้งต้นของ Performance Creative ที่ดี

• 8 พฤษภาคม 2025

Share on

Share on

หนึ่งในปัจจัยสำคัญหลักของการทำ performance creative campaign คือการตั้งกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและเข้าใจพฤติกรรม ความสนใจพวกเขาให้มากที่สุด เพราะนอกจากจะเอามาช่วยวางแผนการทำ audience targeting ผ่าน media efficiency  แล้ว มันยังสำคัญต่ออีกสองแกน performance creative คือ การสร้างชิ้นงานให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมายและการเก็บ data เพื่อวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพ

เริ่มต้นตั้งกลุ่มเป้าหมายกันก่อน

การบอกว่า “ทุกคนในประเทศ” คือกลุ่มเป้าหมายของเรา อันนี้เริ่มก็ผิดแล้ว จะว่าไปถามว่าเป็นไปได้ไหมว่าลูกค้าสินค้าของเราคือทุกคนในโลกนี้ มันก็เป็นไปได้ แต่การทำการตลาด สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการตีกรอบกลุ่มเป้าหมายไม่ให้กว้างจนเกินไปเพื่อให้เราสามารถใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เอาแค่เรื่องการเข้าถึงก็พอ การจะเข้าถึงคน 70 ล้านคน ใช้เงินมากมายมหาศาลกว่าเข้าถึงคน 7 แสนคนแน่ ๆ ดังนั้นหนึ่งในศิลปะของการตลาดคือ การตั้งกลุ่มเป้าหมายให้ถูกต้อง ชัดเจน ไม่กว้างจนเกินไป

กลับกัน สินค้าของเราอาจจะ niche มาก กลุ่มเป้าหมายเล็กมาก ๆ เลย แบบนี้ก็ต้องระวังไม่ควรเล็กเกินไปจนทำการตลาดไม่ได้ สมมุติเราบอกว่า อยากทำการตลาดกับคนแค่หลัก 100 คนทั่วประเทศแบบนี้ ถามว่าตั้งได้ไหม ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่จะคุ้มกับการทำตลาดดิจิทัลไหม ผู้เขียนเคยเจอเจ้าของกิจการท่านหนึ่งบอกว่าอยากเข้าถึงฝ่ายจัดซื้อโรงงานในจังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น โดยใช้ digital marketing แต่ไม่มีข้อมูลตั้งต้นใด ๆ ผมแนะนำไปว่า ถ้าจะทำก็มีลู่ทางทำได้ แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายเจาะจงและเล็กขนาดนี้ การเข้าหาแบบ knock door อาจจะคุ่มค่ากว่าไหม ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาแล้วให้เซลล์วิ่งเข้าหาแทนเป็นต้น

ดังนั้นต้องเริ่มตั้งกลุ่มเป้าหมายให้ชัดก่อน ไม่กว้างมากและไม่แคบจนเกินไป เหมาะสมที่จะนำมาวางแผนการตลาดดิจิทัลต่อ ซึ่งโดยปกติแล้ว เราสามารถตั้งกลุ่มเป้าหมายของเราด้วยข้อมูลดังนี้

Demographic: อายุ เพศ สถานภาพสมรส ที่อยู่อาศัย ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน เป็นต้น

Interest: ความสนใจ เช่น ชอบออกกำลังกาย ชอบเทคโนโลยี ชอบการตกแต่งบ้าน ชอบทำอาหาร เป็นต้น

ต้องรู้อะไรเพิ่มเกี่ยวกับพวกเขา

ถามว่ามีแค่ demogrpahic และ interest เพียงพอไหมกับการทำ Performance Creative Campaign? ก็พอไปได้นะ แต่ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก เราควรต้องรู้ “Insight” ของพวกเขาเพิ่มด้วย เพราะ Insight จะช่วยเรารู้และเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมีพฤติกรรมหรือความต้องการเช่นนั้น และสามารถนำข้อมูลนี้ไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโฆษณาที่เข้าถึงอารมณ์และกระตุ้นการตัดสินใจได้ดีขึ้น

Insight คืออะไร?

Insight คือความจริงเชิงลึกที่อธิบายว่า “ทำไม” กลุ่มเป้าหมายจึงมีพฤติกรรมบางอย่าง ซึ่งลึกกว่าข้อเท็จจริงธรรมดาทั่วไป และสามารถนำไปสร้างไอเดียสื่อสารที่ตรงใจผู้บริโภคมากขึ้น

Insights มักเกิดจากการสังเกตและตั้งคำถามว่า “ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนี้ ?” ซึ่งคำตอบที่ได้มักสะท้อนถึงแรงจูงใจ ความเชื่อ หรือความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากพฤติกรรมภายนอกและข้อมูลความสนใจเพียงอย่างเดียว

จะรู้ Insight พวกเขาเพิ่มได้อย่างไร

วิธีที่เราสามารถค้นหา Insight ได้มีหลายวิธี เช่น

  • การทำ Survey 
  • การทำ Focus Group 
  • การอ้างอิงข้อมูลจาก report และ paper ต่าง ๆ
  • การใช้ MarTech เช่น Social Listening Tools 

สี่วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายในวงการการตลาด ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อด้อยและค่าใช้จ่ายกับระยะเวลาที่ใช้ที่ต่างกันไป วิธีที่อยากแนะนำที่สุด ถ้าเปรียบเทียบทรัพยากรที่ต้องลงไป ระยะเวลาที่ใช้ และคุณภาพที่ได้ อยากแนะนำการทำ survey 

โดยการทำ survey สามารถทำได้ผ่านออนไลน์ การใช้ Google Form ก็สามารถทำได้แล้ว เราสามารถส่งไปให้กลุ่มเป้าหมายช่วยตอบแแบบสอบถามได้ โดยอาจจะแลกกับ incentive บางอย่างเพื่อจูงใจ อีกกลุ่มที่แนะนำให้ทำ survey ด้วยเลยคือ กลุ่มลูกค้าปัจจุบันของเรา กลุ่มนี้เราจะได้ insights ที่เป็นประโยชน์มาก ๆ จากพวกเขา เช่น ปัจจัยที่เลือกซื้อสินค้าของเรา หรือก่อนเลือกซื้อของเราพวกเขามองแบรนด์คู่แข่งแบรนด์ไหนบ้าง รู้จักเราจากช่องทางไหน เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่าง “insight” และ “fact”

นักการตลาดหลายคนยังสับสน ด้วยจำนวนข้อมูลที่มากมายเต็มไปหมด ทำให้บางทีแยกไม่ออกว่า ข้อมูลชุดไหนคือ Insight และข้อมูลชุดไหนคือ Fact กันแน่

Fact คือ ข้อมูลจริงหรือพฤติกรรมที่สามารถสังเกตและวัดผลได้

Insight คือ ความเข้าใจเชิงลึกที่บ่งบอกเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านั้นของผู้บริโภค

ตัวอย่าง:

  • Fact: กลุ่มเป้าหมายครอบครัวที่เข้ามาดูโครงการบ้านเดี่ยวของเราส่วนใหญ่มีรถแค่ 1 คัน
  • Insight: กลุ่มเป้าหมายพวกเขาอยากมีรถหลายคันเพื่อความสะดวกในการเดินทางของสมาชิกในบ้าน แต่คอนโดเดิมไม่มีที่จอดเพียงพอ จึงมองหาบ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์มากกว่า
  • Fact: กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาเลือกคอนโดเพื่อเปรียบเทียบราคา
  • Insight: กลุ่มเป้าหมายกลัวซื้อผิด เพราะเคยได้ยินหรือมีประสบการณ์ตรงว่าโครงการบางแห่งคุณภาพจริงไม่ตรงกับโฆษณา จึงต้องละเอียดมากก่อนตัดสินใจ
  • Fact: คนเลือกบ้านเดี่ยวชอบมีพื้นที่สนามหญ้า
  • Insight: พวกเขาไม่ได้ต้องการ “สนามหญ้า” แต่ต้องการพื้นที่รอบบ้านให้รู้สึกไม่อึดอัด มองออกไปแล้วโล่งตา เพราะเคยอาศัยอยู่คอนโดหรือทาวน์เฮาส์ที่มีพื้นที่จำกัด
  • Fact: กลุ่มเป้าหมายชอบดูบ้านตัวอย่างที่ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบมากกว่าบ้านเปล่า
  • Insight: กลุ่มเป้าหมายไม่ได้อยากได้แค่ดู ตัวอย่างการตกแต่งบ้าน แต่ต้องการ “ภาพของชีวิตที่สวยงาม” เพราะเขายังจินตนาการไม่ออกจากบ้านโล่ง ๆ
  • Fact: กลุ่มเป้าหมายเลือกดูโครงการจาก developer แบรนด์ใหญ่ ๆ ดังๆ มากกว่าจะมาดูแบรนด์เล็ก ๆ 
  • Insight: ลูกค้าไม่ได้ซื้อบ้านจากชื่อเสียงของแบรนด์ แต่ซื้อจาก “ความมั่นใจ” ว่าจะไม่ต้องเสียสุขภาพจิตในระยะยาว
  • Fact: 61% ของคนรุ่น Gen Z นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน
  • Insight: ช่วงเวลาหลัง 4 ทุ่มคือช่วงเดียวที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
  • Fact: 54% ของคนทำงานไม่ทานข้าวเช้า
  • Insight: พวกเขาไม่ได้อยากทำ fasting แต่เพราะส่วนใหญ่ตื่นสายเกินกว่าจะมีเวลาทานอาหารเช้า
  • Fact: ผู้บริโภค 8 ใน 10 คนที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าพวกเขาเลือกซื้อของตาม influencer
  • Insight: พวกเขารู้สึกว่า influencer ทดลองให้ก่อนแล้ว พวกเขามีเวาน้อยซื้อตามเลยง่ายที่สุด

สร้างกลยุทธ์การสื่อการจาก Insight ด้วย Fun / Fear / Pride

หลังจากที่เราได้ Insight กลุ่มเป้าหมายมาวิเคราะห์กันแล้ว ขั้นต่อไปคือต้องวางกลยุทธ์การสื่อสารแล้วต่อยอดออกแบบ Performance Creative campaign ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วมี framework มากมายที่จะนำ insight ที่ได้ไปวางแผนการตลาดต่อได้ แต่บทความนี้อยากจะแนะนำ framework ที่ใช้ง่ายที่สุดตัวหนึ่ง คือ Fun / Fear / Pride Framework:

  • Fun (ความสุข/ความพึงพอใจ): 
    • ผู้บริโภคเลือกสินค้าเพราะต้องการความสนุก สบายใจ ความสุขใหญ่ ๆ หรือเล็ก ๆ ในชีวิต
    • ตัวอย่าง: “ฉันซื้อบ้านเดี่ยวหลังนี้ เพราะมันคือรางวัลแห่งความสุขที่ให้ครอบครัวเราได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างที่ฝันไว้”
  • Fear (ความกังวล/ความกลัว): 
    • ผู้บริโภคกลัวผลกระทบบางอย่าง จึงเลือกทางที่รู้สึกปลอดภัยกว่า
    • ตัวอย่าง: “ฉันเลือกซื้อประกันชีวิตนี้เพราะฉันกลัวว่าถ้าวันหนึ่งฉันไม่อยู่ลูกฉันจะลำบาก”
  • Pride (ความภาคภูมิใจ/คุณค่าในตนเอง): 
    • ผู้บริโภคเลือกสินค้าเพื่อยืนยันตัวตน หรือภาพลักษณ์ของตัวเอง
    • ตัวอย่าง: “ฉันซื้อบ้านในโครงการนี้ เพราะมันคือหลักฐานที่บอกว่าฉันสร้างชีวิตได้สำเร็จแล้ว”

การใช้ framework Fun / Fear / Pride นี้ จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการสื่อสารเพื่อเข้าใจอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจาก Insight ที่เรามี และทำให้ Performance Creative ของเราทรงพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป

ก่อนจะได้ Lead หรือยอดขายจาก Performance Creative Campaign สิ่งสำคัญที่ต้องกลับไปมองก่อนคือรากฐานของการวางแผนที่ดี และหนึ่งในรากฐานสำคัญของทุกแผนการตลาด คือ การเข้าใจพฤติกรรมและ Insight ของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถออกแบบแคมเปญที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายจนสร้างผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

Share on

Ble Narongyod

Writer

Ble Narongyod

งานประจำบริหาร Performance Creative TWF Agency ในฐานะ Head of Growth และผู้ร่วมก่อตั้ง งานหลวงดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกฝ่ายนวัตกรรมและเทคโนโลยี่ของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 กองทุน สสส. งานพิเศษเป็นวิทยากรรับเชิญ งานอดิเรกคือทำ podcast และเขียนบทความ

More From Me