Blog

Customer Lifetime Value (CLV) คืออะไร? พร้อมวิธีคำนวณและกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าลูกค้า

• 19 มิถุนายน 2025

Share on

Share on

ในโลกของการตลาดดิจิทัลที่การแข่งขันสูง การทุ่มงบประมาณเพื่อหาลูกค้าใหม่ (Acquisition) เพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการเติบโตที่ยั่งยืน นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจที่ชาญฉลาดต่างหันมาให้ความสำคัญกับ “ลูกค้าปัจจุบัน” มากขึ้น และหนึ่งในตัวชี้วัดที่เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางก็คือ Customer Lifetime Value (CLV)

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า CLV ผ่านหูมาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคืออะไร สำคัญอย่างไร และจะนำไปใช้ประโยชน์กับธุรกิจได้อย่างไร 

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ CLV ให้ลึกซึ้ง พร้อมสูตรคำนวณเบื้องต้นและกลยุทธ์ที่จะช่วยมัดใจลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ของคุณไปนานๆ

Customer Lifetime Value (CLV) คืออะไร?

Customer Lifetime Value (CLV) หรือ “มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า” คือ การคาดการณ์รายได้รวมทั้งหมดที่ธุรกิจจะได้รับจากลูกค้าหนึ่งคนตลอดช่วงเวลาที่พวกเขายังคงเป็นลูกค้าของแบรนด์อยู่

พูดให้ง่ายขึ้น CLV ไม่ได้มองแค่ยอดซื้อในครั้งแรก แต่เป็นการมองภาพระยะยาวว่าลูกค้าคนนี้จะสร้างรายได้ให้กับเราทั้งหมดเท่าไหร่ ตั้งแต่วันแรกที่ซื้อสินค้าจนถึงวันสุดท้ายที่เลิกเป็นลูกค้าของเรา

ลองนึกภาพตามง่ายๆ ระหว่าง

  • ลูกค้า A: ซื้อสินค้าราคา 5,000 บาทเพียงครั้งเดียวแล้วหายไปเลย
  • ลูกค้า B: ซื้อสินค้าราคา 1,000 บาท แต่กลับมาซื้อซ้ำทุกเดือนเป็นเวลา 2 ปี

หากมองแค่ยอดซื้อครั้งแรก ลูกค้า A อาจดูมีค่ามากกว่า แต่เมื่อเราคำนวณ CLV จะเห็นได้ชัดว่าลูกค้า B คือคนที่มี “มูลค่า” ต่อธุรกิจในระยะยาวสูงกว่ามาก (1,000 บาท x 24 เดือน = 24,000 บาท) นี่คือพลังของการเข้าใจ CLV 

CLV และ LTV คือสิ่งเดียวกันไหม? ต่างกันอย่างไร?

CLV และ LTV (Lifetime Value) ต่างก็วัดมูลค่ารวมที่ลูกค้านำมาสู่ธุรกิจตลอดระยะเวลาความสัมพันธ์ โดยใช้สูตรการคำนวณเดียวกัน คำทั้งสองมักใช้แทนกันได้ แต่โดยทั่วไป CLV จะพบมากในบริบทการตลาดและความสัมพันธ์กับลูกค้า ในขณะที่ LTV มักใช้ในรายงานทางการเงินและการสื่อสารกับนักลงทุน

รู้จักกับ Customer Lifetime Value Models

ที่มา: Gartner

  • Historical CLV Model เป็นการประเมินมูลค่าของลูกค้าจากข้อมูลในอดีต โดยพิจารณาเฉพาะธุรกรรมที่ลูกค้าเคยทำไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น โดยไม่มีการพยายามคาดการณ์พฤติกรรมในอนาคตของลูกค้าเหล่านั้น
  • Predictive CLV model เป็นการประเมินมูลค่าในอนาคตของลูกค้า โดยใช้ข้อมูลในอดีตร่วมกับปัจจัยอื่น เช่น ความถี่ในการซื้อครั้งล่าสุด และ ข้อมูลประชากรศาสตร์ (Demographic) เช่น อายุ ระดับการศึกษา และประเทศที่ลูกค้าอาศัยอยู่

ทำไม Customer Lifetime Value (CLV) ถึงสำคัญกับธุรกิจ?

การวัดผลและทำความเข้าใจ CLV ให้ประโยชน์กับธุรกิจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่

  1. ช่วยให้ตัดสินใจลงทุนในการหาลูกค้าใหม่ได้ดีขึ้น: เมื่อคุณรู้ว่าลูกค้าหนึ่งคนมีมูลค่าเท่าไหร่ คุณจะตอบได้ว่าควรใช้งบประมาณไม่เกินเท่าไหร่เพื่อหาลูกค้าใหม่หนึ่งคน (สัมพันธ์กับค่า Customer Acquisition Cost หรือ CAC)
  2. เพิ่มกำไรจากการรักษาลูกค้าเก่า: การรักษาลูกค้าเก่าใช้งบประมาณน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ 5-25 เท่า การเพิ่ม CLV จึงหมายถึงการเพิ่มกำไรโดยตรง
  3. ช่วยแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ: คุณสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าตาม CLV เพื่อดูแลลูกค้าระดับ VIP หรือสร้างแคมเปญกระตุ้นการซื้อซ้ำสำหรับกลุ่มที่เริ่มห่างหายได้
  4. เป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการ: ข้อมูลจากลูกค้าที่มี CLV สูงคือขุมทรัพย์ชั้นดีในการนำไปพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์มากที่สุด
  5. ชี้วัดความมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจ: ธุรกิจที่มี CLV สูงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและความภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตในระยะยาว

วิธีคำนวณ CLV (สูตรเบื้องต้น)

การคำนวณ CLV มีหลายวิธีตั้งแต่แบบง่ายไปจนถึงซับซ้อนที่ต้องใช้โมเดลทางสถิติ โดยบทความนี้จะแนะนำสูตรคำนวณ CLV แบบง่าย (Historic CLV) ที่ใครๆ ก็ทำความเข้าใจและนำไปปรับใช้ได้

3 องค์ประกอบในการคำนวณ CLV

  1. มูลค่าการซื้อโดยเฉลี่ย (Average Purchase Value): ลูกค้าใช้จ่ายเงินเท่าไหร่ในการซื้อแต่ละครั้ง
    • สูตร: รายได้ทั้งหมด / จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด
  2. ความถี่ในการซื้อโดยเฉลี่ย (Average Purchase Frequency): ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำบ่อยแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง
    • สูตร: จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด / จำนวนลูกค้าทั้งหมด
  3. อายุการเป็นลูกค้าโดยเฉลี่ย (Average Customer Lifespan): ระยะเวลาโดยเฉลี่ยที่ลูกค้ายังคงซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ
    • สูตร: (ผลรวมของอายุการเป็นลูกค้าของลูกค้าแต่ละคน) / จำนวนลูกค้าทั้งหมด

สูตรการคำนวณ CLV

ตัวอย่างการคำนวณ CLV

สมมติว่าคุณเปิดร้านกาแฟและต้องการคำนวณ CLV ของลูกค้าประจำคนหนึ่ง โดยมีข้อมูลดังนี้

  • ลูกค้าซื้อกาแฟเฉลี่ยครั้งละ 120 บาท (Average Purchase Value)
  • ลูกค้ามาซื้อกาแฟเฉลี่ย 4 ครั้งต่อเดือน (Average Purchase Frequency)
  • ลูกค้าเป็นลูกค้าประจำมาแล้ว 24 เดือน (Average Customer Lifespan)

จากสูตรข้างต้น เราจะคำนวณ CLV ได้ดังนี้

CLV = 120 บาท×(4 ครั้ง/เดือน)×24 เดือน = 11,520 บาท

หมายความว่า ลูกค้าคนนี้มีมูลค่าตลอดอายุการใช้งานที่คาดการณ์ได้คือ 11,520 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทรงพลังและทำให้คุณมองเห็นคุณค่าของลูกค้าประจำได้ชัดเจนขึ้น

4 ข้อผิดพลาดทั่วไปเกี่ยวกับการวัด Customer Lifetime Value (CLV)

แน่นอนว่า CLV ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง CLV อาจกลายเป็นการสิ้นเปลืองเวลาและเงิน ซึ่งตรงกันข้ามกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมัน

นักการตลาดมักทำผิดพลาดหลายประการเมื่อเริ่มใช้ CLV ดังนั้น ควรระวังสิ่งต่อไปนี้

  1. เป้าหมายของบริษัทไม่สอดคล้องกัน

คุณควรวางเป้าหมายของ CLV ให้สอดคล้องกับเป้าหมายโดยรวมของบริษัท หากคุณวางแผนปรับปรุง CLV โดยไม่เชื่อมโยงกับเป้าหมายหลัก แผนนี้จะไม่พาคุณไปถึงจุดที่ต้องการ

  1. การแบ่งกลุ่มลูกค้าไม่ถูกต้อง

การแบ่ง Segmentation อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด หากคุณส่งการตลาดไปยังกลุ่มที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกถูกเมินเฉยได้ ดังนั้น การแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการเพิ่ม CLV

  1. การกำหนด Customer Lifetime Value เกินจริง

คุณสามารถคาดหวัง Value จากลูกค้าได้เพียงในระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ต้องตั้งเป้าหมายให้เป็นไปได้ หากคุณตั้งค่าตัวเลข CLV เกินจริง คุณจะไม่มีทางไปถึงเป้าหมายนั้นได้เลย

  1. การละเลยความยืดหยุ่นตามเวลา

โลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงราคาสินค้า/บริการของคุณ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
CLV จึงมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมเหล่านี้ อย่าคาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเป๊ะๆ ถึงตัวเลขสุดท้าย

5 กลยุทธ์เพิ่ม Customer Lifetime Value (CLV) ให้กับธุรกิจ

เมื่อเข้าใจความสำคัญและวิธีคำนวณแล้ว ขั้นต่อไปคือการลงมือทำเพื่อเพิ่ม CLV ให้กับธุรกิจของคุณ นี่คือ 9 กลยุทธ์ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที

1. สร้าง Onboarding Process ที่ยอดเยี่ยม

สร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ลูกค้าเริ่มใช้งานสินค้าหรือบริการของคุณ ให้คำแนะนำที่ชัดเจน ส่งอีเมลต้อนรับ หรือมีวิดีโอสาธิต เพื่อให้ลูกค้าได้รับคุณค่าจากสินค้าของคุณเร็วที่สุดและลดโอกาสที่พวกเขาจะเลิกใช้งาน

2. ใช้ Loyalty & Rewards Program

ระบบสะสมแต้ม ส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิก หรือของขวัญในเดือนเกิด เป็นวิธีที่คลาสสิกแต่ได้ผลเสมอในการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและรู้สึกผูกพันกับแบรนด์

3. Upsell และ Cross-sell

เมื่อลูกกำลังจะตัดสินใจซื้อ ลองเสนอสินค้าที่คุณภาพดีกว่า (Upsell) หรือสินค้าที่ใช้ร่วมกันได้ (Cross-sell) เพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อในแต่ละครั้ง แต่ต้องเป็นการนำเสนอที่สมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าจริงๆ

4. ยกระดับการบริการลูกค้า

การบริการลูกค้าที่รวดเร็ว แก้ปัญหาได้จริง และใส่ใจในทุกรายละเอียด คือหัวใจสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว ลูกค้าที่รู้สึกว่าแบรนด์ “แคร์” พวกเขา มีแนวโน้มที่จะให้อภัยเมื่อเกิดข้อผิดพลาดและภักดีต่อแบรนด์ต่อไป

5. สื่อสารอย่างสม่ำเสมอและตรงใจ (Personalized Communication)

ใช้ Email Marketing หรือ Social Media เพื่อส่งคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ โปรโมชันพิเศษ หรือคำแนะนำที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม (Segmentation) การสื่อสารที่สม่ำเสมอช่วยให้แบรนด์อยู่ในใจลูกค้าเสมอ

    สรุป

    Customer Lifetime Value (CLV) ไม่ใช่แค่ตัวชี้วัดทางการตลาดที่ซับซ้อน แต่เป็นแกนหลักในการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนมุมมองจากการ “หาลูกค้าใหม่” มาเป็นการ “สร้างมูลค่าสูงสุดจากลูกค้าปัจจุบัน” จะช่วยให้คุณจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และเพิ่มผลกำไรในระยะยาว

    เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ลองคำนวณ CLV ของธุรกิจคุณแบบง่ายๆ และเริ่มวางกลยุทธ์เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า แล้วคุณจะพบว่าการรักษาลูกค้าเก่าให้อยู่กับเราไปนานๆ คือหนึ่งในการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

    Share on

    Marisa

    Writer

    Marisa

    Content Creator แห่ง Content Shifu ที่พร้อมจะเปิดโลก Digital ให้แก่ผู้อ่านได้ความรู้และความสนุกไปพร้อมกัน

    More From Me