การที่ผมตั้งชื่อหัวข้อแบบนี้ หลายๆ คนก็อาจจะไม่เห็นด้วย และแย้งในใจว่า

“ทำไมล่ะ? ตอนนี้ฉันก็ใช้ Facebook ในการขายอาหารอยู่ ยอดขายก็พุ่งเอา พุ่งเอา” “ธุรกิจการโพสต์เสื้อผ้าบน Instagram และปิดการขายด้วย LINE ของฉันก็ยังไปได้ดี มีคนทักมาสั่งเสื้อไม่ขาดสาย” หรือ “Tiktok ก็พาลูกค้าใหม่ๆ มาให้ฉันได้ดี”

ใช่ครับ มันก็จริงที่ การซื้อขายของผ่านช่องทาง Social Media อย่าง Facebook, Instagram, Tiktok และ LINE (Social Commerce) ของประเทศไทยเรานั้นโตขึ้นมาก และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนไทยนิยมการคุยกับคน และชอบจ่ายเงินผ่านการโอนเงินมากกว่า ซึ่งพฤติกรรมของคนไทยนั้นต่างกับพฤติกรรมของการซื้อขายของบนโลกออนไลน์ของประเทศอื่นๆ ที่เน้นการซื้อของผ่านปุ่ม Add to cart และจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต (eCommerce) ค่อนข้างมาก

นอกจากนั้นแล้วการขายของผ่าน Facebook, Instagram, Tiktok หรือ LINE นั้นก็ยังสามารถทำได้ง่ายอีกด้วย ไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องจ้างพนักงานเยอะ บางครั้ง ขายเช้า ได้เงินตอนเย็นเลย

แล้วสรุปว่าการทำธุรกิจบน Social Media เพียงอย่างเดียวมันไม่ดียังไง?

ก่อนหน้านี้ผมเขียนเหตุผลที่อยู่ในใจคุณออกมาแล้ว ทีนี้ตาผมเขียนเหตุผลที่อยู่ในใจผมออกมาบ้างนะ ว่าปัญหาของ Social Media หรือข้อเสียของ Social Media ที่ผมศึกษาและมองเห็นมา มีอะไรบ้าง

Shifu แนะนำ
ลิงก์บางลิงก์ในบทความนี้เป็นลิงก์แบบ Affiliate ซึ่งหมายความว่า ถ้าคุณคลิกและซื้อสินค้าหรือบริการที่อยู่ในหน้านี้ Content Shifu อาจจะได้รับค่าแนะนำ โดยที่คุณไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น 🙂 อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลเรื่อง Affiliate ได้ที่นี่

เหตุผลที่คุณไม่ควรพึ่งแต่ Social Media (โซเชียลมีเดีย) ในการทำธุรกิจ

social-media-icons

1. การตลาดบน Social Media เป็นการตลาดแบบผลัก

ถ้าธุรกิจหลักของคุณอยู่บน Social Media แน่นอนว่าสิ่งที่คุณต้องทำแน่ๆ ก็คือ การขาย แต่การที่คุณจะทำให้คนมาเห็น และซื้อสินค้าของคุณแบบ Organic บนโลกโซเชียลมีเดียในยุคปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องพึ่งคือ โฆษณา

ซึ่งการโฆษณาบน Social Media นั้นมันจะเป็นการตลาดแบบผลัก ที่จะเข้าไปขัดจังหวะในหน้า feed ของคนอ่าน ข้อดีของการตลาดแบบนี้คือมีราคาค่อนข้างถูก และสามารถใช้สร้างการรับรู้ (Awareness) ของคนในวงกว้างได้ดี แต่ถ้าจะเอาไปใช้ในขั้นตอนของการปิดการขาย อาจจะไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในระยะยาว

การทุ่มงบที่เกี่ยวข้องกับการขายไปกับช่องทางที่เหมาะกับการสร้างการรับรู้ มันจะทำให้คุณเสียแรง และเสียเงินมากกว่าที่ควรจะเป็น

2. เขายิ่งแข็งแกร่ง เรายิ่งอ่อนแรง

แพล็ตฟอร์ม Social Media ต่างๆ อย่าง Facebook, Instagram หรือ LINE นั้นมีคนไทยใช้อยู่มากกว่า 55 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ

คุณอาจจะคิดว่า “ก็ดีนะสิ ฉันจะได้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอีก”

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกขั้น คุณจะรู้ว่า มันไม่ใช่แค่ลูกค้าหรอกที่จะเพิ่มขึ้นมา คู่แข่งของคุณเองก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาลด้วย เพราะอย่างที่ได้บอกไป การเริ่มต้นซื้อขายผ่านช่องทาง Social Media นั้นสามารถทำได้ง่ายมาก

ค่า Reach บน Facebook ในปัจจุบันที่น้อยอยู่แล้ว ในอนาคตมันจะยิ่งน้อยลงอีก

และค่า Reach ที่น้อยลงจะทำไปสู่การที่คุณจะต้องจ่ายค่า Ad เพิ่มเพื่อให้ Reach ถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณ และแน่นอนว่าในอนาคต คุณต้องจ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าคุณจะพยายามทำ Ad ให้สร้างสรรค์ หรือว่า Optimize Ad ยังไงก็ตาม

3. Social Media คือบ้านเช่า บ้านเราควรเป็นที่อื่น

ตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็น Facebook ที่คนไทยคุ้นเคยกันอย่างดี

เวลาคุณสร้างเพจ คุณรู้ไหมครับว่าโดเมนนั้นเป็นโดเมนของ Facebook (เช่นของ Content Shifu ก็จะเป็น https://www.facebook.com/contentshifu), เซอร์เวอร์ที่เพจของคุณตั้งอยู่ก็เป็นของ Facebook หรือแม้แต่แฟนๆ ที่มาไลก์หรือติดตามเพจของคุณ คนเหล่านั้นก็ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของ Facebook

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นเจ้าของเพจของตัวเองบน Facebook คุณอาจจะต้องคิดใหม่นะครับ เพราะว่าคุณเป็นแค่ “คนเช่าอยู่” ถ้าคุณเผลอทำอะไรที่ Facebook ไม่ชอบ หรือละเมิดข้อตกลง Facebook สามารถแบนคุณเมื่อไหร่ก็ได้

ตัวอย่างเช่น เพจของตากล้องคนนี้ที่มีคนติดตามมากกว่า 2 ล้านคนบน Facebook นั้นถูกแบน และก็หายไปในคืนเดียว

กรณีแบบนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ผมแค่อยากยกตัวอย่างเพื่อบอกว่าเพจของคุณ จริงๆ แล้วไม่ใช่ของของคุณ แค่นั้นเองครับ

เอ้อ แล้วก็ไม่ใช่แค่ Facebook นะครับ ตัวอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราขาดการควบคุมได้ด้วยตัวเองนี้ ถือเป็นปัญหาหรือข้อเสียสำคัญข้อหนึ่งของ Social Media เลย

Shifu แนะนำ
สิ่งที่คุณคิดว่าเป็น Asset บนโซเชียลมีเดียอย่างเช่น จำนวน Like อาจจะเสื่อมค่าเร็วกว่าที่คุณคาดคิดไว้ ผมรู้สึกเสียดายแทนทุกครั้งที่เห็นคนกระหน่ำซื้อ Like บน Facebook Page โอเค มันอาจจะมีคุณค่าในแบบ Social Proof ที่บอกให้คนรู้ว่าคุณมีผู้ติดตามเยอะ แต่ในความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าคุณไม่ควรจะไปเสียเงินจำนวนมากให้กับสิ่งที่ไม่ได้สร้างธุรกิจในระยะยาว แถมยังเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย (10,000 Like ในวันนี้ของปีนี้มีค่าน้อยกว่า 10,000 Like ในวันนี้ของปีที่แล้วเยอะเลยครับ)

สู้เอาเงินที่ลงกับ Like ไป Boost Post, ทำ Lead Ads หรือถ้าจะให้ดี เอาไปทำคอนเทนต์ให้มันเจ๋งๆ น่าจะเข้าท่ากว่าเยอะเลยครับ

ได้โปรดอย่าเข้าใจผมผิด 

ผมเชื่อว่า Social Media ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าในยุคนี้ และคุณควรจะใช้ประโยชน์จากมันให้ดี

แต่ถ้าสิ่งที่คุณทำคือการเปิดร้านบน Facebook โชว์สินค้าผ่าน Instagram หรือการขายของผ่าน LINE เพียงเท่านั้น ผมคิดว่าไม่ใช่แนวคิดที่เหมาะสมในระยะยาวครับ

Shifu แนะนำ
คุณสามารถเข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำการตลาดผ่าน Social Media ได้ที่ Social Media Marketing 101 และ Digital Advertising 101

“แล้วถ้าไม่ทำธุรกิจผ่าน Social Media แล้วจะให้ไปทำธุรกิจที่ไหนล่ะ?”

ทางเลือกที่คุณควรใช้ควบคู่กับ Social Media

ดังสุภาษิตที่ว่าไว้ว่า “Don't put all your eggs in one basket” หรือ “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดของคุณไว้ในตระกร้าใบเดียว” ยิ่งเป็นตระกร้าที่เรียกว่า Social Media ที่เป็นเหมือนบ้านเช่าแล้วนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะฉะนั้นผมขออนุญาตเสนอตระกร้าใบอื่นที่มันแข็งแรง และยั่งยืนกว่าให้คุณบ้างแล้วกันนะ

เว็บไซต์คือรังอันอบอุ่น

อย่าพึ่งโห่ฮาปรามาสผมว่าทำไมทางเลือกที่ผมเสนอนั้นมันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย

มันก็จริงอยู่ที่มันไม่ได้แปลกใหม่ แต่ผมคิดว่าน้อยคนนักที่จะให้ความสำคัญกับช่องทางนี้ เนื่องจากว่ามันไม่เห็นผลในทันที และการจะเป็นเจ้าของเว็บไซต์สักเว็บหนึ่งมันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย

คุณอาจจะได้ฟัง ได้อ่าน เกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว แต่ถ้าคุณยังคิดว่ามันไม่สำคัญ หรือว่ามันยาก ขอโอกาสให้ผมได้ทำการหาเสียง และโน้มน้าวใจคุณสักครั้งนะ : )

ทำไมธุรกิจที่อยากอยู่บนโลกออนไลน์ถึงต้องมีเว็บไซต์?

สาเหตุสำคัญที่ผมคิดว่าธุรกิจที่อย่ากอยู่บนโลกออนไลน์จะต้องมีเว็บไซต์ก็คือ

ความเป็นเจ้าของ

การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้น คุณสามารถมีโดเมน (ชื่อเว็บไซต์) และเซอร์เวอร์ (สถานที่เก็บเว็บไซต์) เป็นของคุณได้ ระหว่างคำว่า “เป็นเจ้าของ” กับ “ไม่ได้เป็นเจ้าของ” ผมว่ามันต่างกันเยอะมากเลยนะครับ

ป.ล. จริงๆ แล้วการใช้คำว่าเป็นเจ้าของเซอร์เวอร์ อาจจะไม่ถูกนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วคนก็มักจะเช่าเซอร์เวอร์เอาเหมือนกัน แต่บริษัทที่เป็นเจ้าของเซอร์เวอร์ที่คุณเช่าอยู่นั้น จะไม่มีสิทธิ์มาเปลี่ยนแปลงอะไรบนเว็บไซต์ของคุณทั้งนั้น และถ้าคุณไม่พอใจ คุณจะย้ายออกเมื่อไหร่ก็ได้ครับ

Shifu แนะนำ
ผมแนะนำให้ลองไปดู Jon Loomer ที่เป็นหนึ่งในคนที่ดังที่สุดทางด้านการสอนใช้งาน Facebook ครับ ถึงแม้ว่าเขาจะสอนทำ Facebook แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ใช้ Facebook เป็นที่หลักในการทำธุรกิจ แต่เขามีเว็บไซต์เป็นจุดศูนย์กลาง แล้วใช้ Facebook ดึงคนเข้ามายังเว็บไซต์ของเขาครับ

ความยืดหยุ่น

คุณสามารถสร้าง และออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ในการทำธุรกิจของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขาย หรืออื่นๆ ในขณะที่ Social Media ต่างๆ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขาย; Facebook ถูกสร้างมาเพื่อให้คุณเชื่อมต่อกับเพื่อน, Instagram ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คุณแบ่งปันรูปภาพ และ LINE ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คุณพูดคุยกับเพื่อน

ความคุ้มค่าในระยะยาว

การที่คุณเข้ามาอ่านบทความนี้ของ Content Shifu ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่เชื่อในการสร้างคอนเทนต์เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับกลุ่มเป้าหมายอยู่ไม่มากก็น้อยแน่ๆ ซึ่งการที่มีเว็บไซต์นั้น จะทำให้คุณค่าที่คุณส่งมอบออกไปอยู่นานมากยิ่งขึ้น เพราะอายุเฉลี่ยของโพสต์บน Social Media ต่างๆ จะอยู่ที่ราวๆ 2-7 ชั่วโมง ในขณะที่บทความบนเว็บไซต์นั้นจะอยู่ได้เป็นหลักเดือน หรือปี โดยการที่ถูกค้นหาผ่าน Google ครับ (สำหรับคอนเทนต์บนเว็บไซต์ ตราบใดที่คอนเทนต์คุณติด Google แล้ว และยังมีคนอยากรู้ในเรื่องที่คุณพูดถึงอยู่ คอนเทนต์นั้นๆ ของคุณจะไม่หมดอายุเลยครับ)

และถ้าคุณสร้าง Call to action (เช่นปุ่มให้กดซื้อ หรือปุ่มให้กดเข้าไปดูสินค้า) และ Sales Funnel (ขั้นตอน/เส้นทางที่คุณอยากจะให้ลูกค้าเดินตามไปจนกระทั่งปิดการขาย) ให้มันดีแล้วละก็ มันก็จะทำให้คุณจะได้ลูกค้ามาเรื่อยๆ เลยล่ะ

ทำเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่… ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจจะเริ่มรู้สึกอยากมีเว็บไซต์ขึ้นมาตะหงิดๆ แต่คุณก็ยังไม่แน่ใจ เพราะคุณคิดว่าการสร้างเว็บไซต์นั้นมันห่างไกลกับความสามารถที่คุณมีเหลือเกิน

ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้ละก็ ผมบอกเลยว่าคุณคิดไปเองครับ : )

คุณใช้ฟังก์ชั่นง่ายๆ ใน Microsoft Excel ได้ไหมครับ?

คุณพิมพ์งานบน Microsoft Word ได้ไหมครับ?

คุณทำพรีเซนเทชั่นบน Microsoft Powerpoint ได้ไหมครับ?

ถ้าคุณทำ 3 อย่างนี้ได้ ผมบอกเลยว่าการสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบันนี้ก็ยากพอๆ กับการทำ 3 อย่างนี้แหละครับ เผลอๆ ง่ายกว่าด้วยซ้ำ

ผมขอเอาวิธีการสร้างเว็บไซต์แบบง่ายๆ มาแนะนำนะครับ

WordPress.org

ผมเป็นแฟนตัวยงของ WordPress.org ครับ เพราะว่ามันทำให้คนที่โง่เรื่องเขียนโปรแกรม (จะเรียกว่าโง่ก็คงไม่ถูก เรียกว่าไม่รู้เรื่องเลยดีกว่า เพราะผมเขียนโปรแกรมไม่เป็นเลยครับ ฮา) สามารถทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้ ข้อดีของ WordPress.org ก็คือทุกอย่างจะเป็นของคุณทั้งหมดจริงๆ อีกทั้งมันยังสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ได้เยอะมากด้วยครับ เพียงแค่ซื้อ Domain (ผมใช้ Godaddy อยู่ Namecheap เป็นอีกตัวที่ผมคิดว่าราคาดี) ซื้อ Theme (เช่น Astra, Divi, GeneratePress หรือจากตลาด Theme อย่าง Themeforest) หรือ Plugin มาใช้ คุณก็สามารถปรับแต่เว็บไซต์ของคุณได้หลากหลาย

ซึ่ง WordPress มันเจ๋งเสียจนถูกเว็บไซต์ชื่อดังของต่างประเทศอย่าง BBC, Facebook Newsroom, Bloomberg และอื่นๆ อีกมากมายเอาไปใช้

ส่วนข้อด้อยของ WordPress ก็คือ ในช่วงเริ่มต้นคุณอาจจะต้องใช้เวลาเรียนรู้กับมันสักหน่อย และเนื่องจากว่า WordPress.org นั้นเป็น Open-source Software เพราะฉะนั้นถ้าเกิดปัญหา คุณจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากตัวบริษัทแม่ของ WordPress เองสักเท่าไหร่ครับ

ถ้าคุณเห็นข้อดี และยอมรับข้อเสียของ WordPress ได้ แล้วอยากจะลองเริ่มต้นเรียนรู้มันดู ผมแนะนำให้ไปอ่านบทความ “วิธีการสร้างเว็บไซต์ ด้วย WordPress ทำเว็บไซต์เอง คุณเองก็ทำได้ (สอนแบบจับมือทำ)” ดูครับ อาจจะยาวสักหน่อย แต่ถ้าคุณอ่านไป ทำไป จนจบ คุณจะได้เป็นเจ้าของ WordPress Website ของคุณแน่ๆ ครับ

ถ้าคุณไม่ได้จะทำเว็บที่แปลกประหลาด หรือเว็บที่ต้องมีการปรับแต่งเยอะมากๆ WordPress ทำให้คุณได้แทบทุกอย่างครับ คอนเฟิร์ม!

เว็บสำเร็จรูปอื่นๆ

ถ้าคุณคิดว่า WordPress.org ยังยากเกินไปอยู่ ผมแนะนำให้ลองดูเว็บสำเร็จรูปอื่นๆ อย่าง WordPress.com (ระบบสร้างเว็บไซต์ที่ WordPress ดูแลให้) Wix กับ Webflow ครับ หรือถ้าอยากได้เว็บที่เด่นเรื่อง eCommerce ก็ลองไปดู Shopify ครับ

ข้อดีของเว็บไซต์สำเร็จรูปเหล่านี้ก็คือจะติดตั้ง และใช้งานง่ายกว่า WordPress และจะมีฝ่ายช่วยเหลือคอยดูแลให้เสมอๆ แต่ข้อด้อยก็คือคุณจะปรับแต่งเว็บไซต์ได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับ WordPress.org และเซอร์เวอร์ที่เก็บเว็บไซต์ของคุณจะเป็นเซอร์เวอร์ของเว็บสำเร็จรูปนั้นๆ ครับ

Shifu แนะนำ
พฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยในปัจจุบันนั้นจะอยู่ที่ Social Media  และการโอนเงินเป็นหลัก ผมเองนั้นก็บอกแน่ๆ ไม่ได้หรอกว่าพฤติกรรมการซื้อขายในประเทศเรานั้นจะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นเหมือนเมืองนอกเมื่อไหร่ (หรือจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นแบบไหน)

แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และการเข้ามาของแบรนด์ดังๆ ต่างชาติ เช่น Lazada, Alibaba และแบรนด์ที่มีทุนหนาอื่นๆ ผมคิดว่าไม่ช้าก็เร็ว การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์มันจะต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ และถ้าคุณยังพึ่งแต่ช่องทางที่ไม่ได้เป็นของคุณจริงๆ ในวันหน้า ทางเลือกของคุณก็อาจจะมีแค่ไปอยู่ใต้ร่มชายคาของแบรนด์ต่างชาติเหล่านี้ (ซึ่งการทำงานของคุณจะถูกจำกัดยิ่งกว่าอยู่บนโซเชียล) หรือไม่ก็ล้มหายตายจากไป

ลงทุนกับช่องทางที่เป็นของคุณจริงๆ ในวันนี้ ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากไปสักนิด แต่ก็เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในวันหน้านะครับ 🙂

โลกออฟไลน์ยังไม่หายไปไหน

นอกจากการทำเว็บไซต์แล้ว ผมเชื่อว่าช่องทางออฟไลน์ยังไม่ตาย และยังคงเป็นช่องทางที่สำคัญอยู่ เพราะว่าคนเรายังต้องการหยิบ ต้องการสัมผัส ต้องการรู้สึกกับสิ่งที่จับต้องได้ โลกออฟไลน์สามารถส่งมอบประสบการณ์หลายๆ แบบที่โลกออนไลน์ไม่สามารถให้ได้

ถ้าคุณอยู่ในโลกออฟไลน์อยู่แล้ว ดีเลย ผสานเอาข้อดีของทั้งโลกออฟไลน์ และโลกออนไลน์อย่างเว็บไซต์ และ Social Media มาไว้ด้วยกัน ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของแต่ละช่องทางให้ดี แล้วธุรกิจของคุณจะอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวครับ

สรุป

โซเชียลมีเดียก็ยังคงเป็นช่องทางที่สำคัญ และเป็นช่องทางที่คนที่อยากทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ควรจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ แต่ Social Media ไม่ควรเป็นเพียงช่องทางเดียวในการทำธุรกิจของคุณเพราะว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของ และยิ่งนานวันไป การทำธุรกิจบนโซเชียลมีเดียจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ

การผสาน Social Media  กับเว็บไซต์ และช่องทางออฟไลน์จะเป็นวิธีที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น และอยู่ได้ในระยะยาว

และสำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะมีช่องทางกี่สิบกี่ร้อยช่องทาง ทุกช่องทางที่คุณมีมันจะไม่มีความหมายเลย ถ้าคุณไม่สามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าได้ ว่าแล้วก็มาทำความเข้าใจวิถีแห่ง Inbound Marketing กันเถอะ!

ตาคุณแล้ว

คุณทำธุรกิจบนโซเชียลอย่างเดียว หรือคุณมีช่องทางอื่นๆ มารองรับด้วยครับ? พิมพ์มาคุยกันได้ในคอมเมนต์เลย 🙂