Blog

8 Digital Marketing Trends 2025: สรุปเทรนด์การตลาดออนไลน์ปี 2025

• 25 พฤศจิกายน 2024

Share on

Share on

เทรนด์การตลาดออนไลน์ 2025 จะเป็นอย่างไร?

พอมีคำว่าเทรนด์แล้ว คนอาจจะคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่มันแปลกใหม่ เป็นกระแส ที่ต้องขี่ตามไปให้เร็ว ไม่อย่างนั้นจะตกขบวน

ซึ่งมันก็จริงส่วนหนึ่ง…

แต่ผมอยากจะเน้นย้ำตั้งแต่ตอนเปิดบทความนี้เลยว่า “การตลาดออนไลน์” เป็นส่วนหนึ่งของ “การตลาด” ซึ่งเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจคน ทำความเข้าใจลูกค้า และนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ (หรือในบางครั้ง… สิ่งที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องการ)

สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เทรนด์ใหม่ๆ จะมาอีกกี่เทรนด์ ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น

เทรนด์เป็นสิ่งที่อ่านให้รู้ เอาไว้เป็นวัตถุดิบเพิ่มเติมใส่หัวสมอง ใช้เป็นข้อมูลเพื่อส่งเสริมการทำการตลาด ไม่ใช่เป็นวัตถุดิบหลักในการทำการตลาด เพราะไม่อย่างนั้น เมื่อไหร่ที่เทรนด์นั้นๆ หมดกระแสไป คุณเองก็อาจจะตกกระแสตาม

สิ่งที่ผมจะแชร์ในบทความนี้ บางเรื่องก็เป็นเรื่องใหม่ล่าสุดที่ได้ข้อมูลมาจากปี 2024 บางเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีเทรนด์ขาขึ้นอยู่

ผมขอหยิบเอาเทรนด์มาเล่าผ่านหัวข้อสำคัญ 8 หัวข้อที่ทุกคนที่ทำการตลาดออนไลน์ควรรู้นะครับ เทรนด์ต่างๆ ที่เอามาเล่า ไม่ได้เรียงตามอันดับหรือเป็นขั้นเป็นตอนเพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกันหมด

เทรนด์ 8 อย่างนี้ได้แก่ Consumer, Digital Strategy, Martech, AI, Digital Advertising, Data, Content Marketing และ Social Media Marketing นะครับ

เนื้อหาที่เอามาแชร์ มีทั้ง Data จากการ Research ของ Content Shifu และพาร์ทเนอร์ Data ที่เอา Data จากหลายๆ แหล่งมา Backup และ Insight ที่ได้จากการพูดคุยกับคนในแวดวง Digital marketing ของไทย รวมถึงอันที่เป็นความเห็นของผม เพราะฉะนั้นอ่านแล้วอย่าเชื่อทั้งหมด ต้องเอาไปศึกษา และเอาไปคิดวิเคราะห์ต่อนะครับ

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว มาดูเทรนด์การตลาดออนไลน์สำหรับปี 2025 กันเลยครับ!

ป.ล. ผมใช้เวลาในการตกผลึก และหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเขียนบทความนี้หลายสิบชั่วโมง และผมยินดี ถ้าคุณจะเอาเนื้อหาบางส่วนไปอ้างอิงต่อ ซึ่งผมจะขอบคุณมากๆ ถ้าคุณช่วยส่งลิงก์กลับมายัง https://contentshifu.com/blog/digital-marketing-trends ด้วยนะครับ :)

ป.ป.ล. เนื้อหาในบทความนี้ อาจจะมีมุมที่ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบกับ Platforms หรือ Providers บ้าง ผมพยายามจะเรียบเรียงอย่างเต็มที่และเขียนด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ในภาพรวม และไม่ให้ความสัมพันธ์ต่างๆ ที่ผมเองอาจจะมีกับ Platforms หรือ Providers มา Influence เนื้อหาในบทความนี้นะครับ

📖 คอร์สเรียนแนะนำ

อยากอัปเดตเทรนด์ Digital Marketing แบบเจาะลึก พร้อมทั้งรับฟังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และอุตสาหกรรมที่คุณอยู่? ทาง Content Shifu สามารถจัดคลาสยาว 1-6 ชั่วโมง เกี่ยวกับเรื่อง Digital Marketing Trends ให้คุณได้ ติดต่อเราเพื่อสอบถามรายละเอียดกับการอบรมในองค์กร (In-house Training)

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

1. เทรนด์เกี่ยวกับ Consumer

Insights จาก Digital Insights Thailand Report 2024

ในปี 2024 ทาง Content Shifu ได้ร่วมมือกับ YouGov ที่เป็น Research Company ชั้นนำของโลก จัดทำ Digital Insights Thailand Report 2024 ขึ้นมา ที่เก็บข้อมูลจากคนไทยทั่วประเทศกว่า 2,000 คน ซึ่ง Report เล่มนี้มีความยาว 100 กว่าหน้า

ผมขอเอาเนื้อหาที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับการทำ Digital Marketing มาแชร์นะครับ

ข้อมูลใน Report แสดงให้เห็นว่าคนแต่ละ Generation คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต่างกัน และคนที่มีรายได้ครัวเรือนที่มาก/น้อย มีพฤติกรรมในการใช้งาน Social Media ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนั้นแล้ว อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าสนใจมากๆ คือ Millennials (Gen Y) และ Gen Z นั้นมีพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลแตกต่างไปกับ Gen X และ Baby Boomer ค่อนข้างมาก คือ Gen Y และ Gen Z นั้นมีการค้นหาข้อมูลผ่าน Social Media มากขึ้นมากๆ

ซึ่งผมคิดว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญอย่างนึงคือ Social Platforms ให้ข้อมูลที่เป็น Visual มากกว่า Search Platform

เวลาเห็นข้อมูลใน Social Platforms เรามักจะเห็นเป็นรูปภาพ หรือไม่ก็เป็นวิดีโอ ซึ่งเป็น Content Format ที่เติบโตแรงมากๆ ในหลายปีที่ผ่านมานี้

ในแง่ของ Social Commerce ก็มีความแตกต่างกันระหว่าง Generation ค่อนข้างชัดเจน โดยที่ Gen Z นิยมสั่งสินค้าผ่าน TikTok ในขณะที่ Millennials และ Baby Boomer นิยมสั่งซื้อผ่าน Facebook

สำหรับ E-Commerce คน Gen X นั้นชอบสั่งผ่าน Lazada มากกว่า ในขณะที่คน Gen Z ชอบสั่งผ่าน Shopee มากกว่า

ความคาดหวังของ Consumer มากขึ้น แต่ความภักดีนั้นต่ำลง

จาก 2025 Consumer Trends Report ของ Qualtrics ที่ทำการ Survey คนไป 23,730 คนในปี 2024 บอกไว้ว่าถ้าประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากแบรนด์ไม่ดี คนประมาณ 53% จะเลือกที่จะเดินจากแบรนด์ไป (มากขึ้นกว่าที่พวกเขาเคยทำ Survey ในช่วงปี 2023 ซะอีก)

ในทางกลับกัน ถ้าคุณทำให้ลูกค้าพอใจมากขึ้น เช่นจากเดิมที่ได้คะแนน 1 หรือ 2 คะแนน กลายเป็น 3 คะแนน (เต็ม 5 คะแนน) จะทำให้คุณเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้นถึง 1.6 เท่า

คะแนนโดยรวมเหมือนจะเพิ่มไม่เยอะ แต่ยอดขายเพิ่มเยอะมากๆ

เด็กเกิดน้อยลง แต่ลูกรักมีมากขึ้น

ผมเอาข้อมูลจำนวนการเกิดของคนไทยจากสำนักงานสถิติแห่งชาติมา Plot Graph ให้เห็นง่ายๆ ดู จะพบว่าตั้งแต่ปี 2555-2565 (2012-2022) เทรนด์การเกิดของเด็กในประเทศไทยน้อยลงทุกๆ ปี

ถึงแม้ว่าในปี 2024 นี้เป็นปีมังกรที่อาจจะมีเด็กเกิดมากขึ้น แต่ในภาพรวม เด็กที่เกิดในประเทศไทยก็น้อยลงมากๆ อยู่ดี

แต่อัตราการเกิดของเด็กกลับสวนทางกลับอัตราการเติบโตของการเลี้ยง “ลูกรัก”

คำว่า “ลูกรัก” ในที่นี้คือ “สัตว์เลี้ยง” ครับ

ข้อมูลจาก TTB Analytics ได้บอกว่าตลาดสัตว์เลี้ยงในปี 2024 นั้นขยายตัวขึ้นถึง 12.4%

และที่บอกว่าคนเลี้ยงสัตว์เหมือนเลี้ยงลูกรักเพราะพวกเขามีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ระหว่าง 7,745 – 41,100 บาท/ตัว/ปี เลยทีเดียว

คนจะยอมจ่ายมากขึ้นถ้าแบรนด์ทำสิ่งนี้อย่างจริงจัง

เรื่องที่ว่าคือเรื่องเกี่ยวกับ ESG

ESG เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ซึ่งคำว่า ESG เป็นตัวย่อของ

  • Environment หรือสิ่งแวดล้อม
  • Social หรือสังคม
  • (Corporate) Governance หรือธรรมภิบาลขององค์กร

ข้อมูลจาก PwC 2024 Voice of the Consumer Survey ได้บอกว่าไว้ว่าคนยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าที่ Ethical & Sustainable มากกว่าสินค้าปกติถึง 9.7%

ผมได้มีโอกาสไปเรียนหลักสูตรของตลาดหลักทรัพย์ที่ชื่อว่า IDE to IPO (Innovation Driven Enterprise to Initial Public Offering) มา และทำให้เห็นภาพเรื่องนี้มากขึ้น รวมไปถึงเข้าใจมากขึ้นว่าบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นให้ความสำคัญและตื่นตัวกับเรื่องนี้มากแค่ไหนในปีที่ผ่านมา เนื่องจากว่าเรื่อง ESG นั้นเป็นอีกหนึ่งในกระแสหลักของโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังธุรกิจเล็กใหญ่อื่นๆ ด้วย

Content Shifu เองก็ได้เปิดเว็บไซต์ใหม่ที่ชื่อว่า Scale ที่รวมสาระความรู้ที่ทำให้คนและธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ไปตามกันได้นะครับ

2. เทรนด์เกี่ยวกับ Digital Strategy

งบประมาณสำหรับการทำการตลาดต่อรายได้ขององค์กรต่างๆ หดตัว

Gartner ได้ทำการ Survey CMO ทั่วโลกกว่า 400 คน และออก Report The State of Marketing Budget & Strategy in 2023 มา และผมคิดว่ามีชุดข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง เลยอยากจะเอามาสรุปให้ได้อ่านกันครับ

*สถิติเหล่านี้เป็นสถิติแบบ Global (ทั้งนี้ผมคิดว่าคนทำ Survey น่าจะ Base ที่ US เป็นหลัก) ข้อมูลส่วนนี้ดูเป็น Guideline ได้ แต่อาจจะไม่ตรงกับของบ้านเรา 100% ครับ

ในปี 2022 งบการตลาดกระโดดขึ้นมาจากปี 2021 ค่อนข้างมาก ซึ่งใน Digital Marketing Trend ของปีที่แล้ว ผมเคยเขียนเหตุผลไว้ว่า ความมั่นใจของธุรกิจต่างๆ เริ่มจะกลับมา และโลกของเรากำลังจะก้าวข้าม COVID-19 ไปแล้ว

แต่ในปี 2023 จนถึงปี 2024 นั้นงบการตลาดมีแนวโน้มที่ตกลง ซึ่งผมคิดว่าเป็นผลพวงมาจากสภาวะสงครามหลายๆ ที่ในโลก รวมไปถึงปัญหาเรื่องเศรษฐกิจด้วย ทำให้งบการทำการตลาดปรับตัวน้อยลงตาม

งบประมาณสำหรับการทำการตลาดอิงตามอุตสาหกรรม

HubSpot ได้ทำการ Survey นักการตลาดมากกว่า 1,400 คน และจัดทำ The State of Marketing Report 2024 ขึ้นมา ซึ่งเขาได้ให้ข้อมูลงบประมาณสำหรับการทำการตลาดอิงตามอุตสาหกรรม มาไว้ตามนี้

INDUSTRYMARKETING BUDGET
(% OF COMPANY REVENUE)
Banking/finance/insurance9.49%
Communications/media14.27%
Consumer packaged goods25.19%
Consumer services11.74%
Education11.50%
Energy3.83%
Healthcare6.80%
Manufacturing3.75%
Mining/construction6.50%
Pharma/biotech12.83%
Professional services7.08%
Real estate10.61%
Retail wholesale14.52%
Service consulting21%
Tech software/platform11.8%
Transportation1.52%

ซึ่งโดยสรุปแล้ว เขาบอกว่า สำหรับธุรกิจ B2B งบการตลาดควรอยู่ที่ประมาณ 2-5% ของรายได้ และธุรกิจ B2C งบการตลาดควรอยู่ที่ประมาณ 5-10% ของรายได้

ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ ที่จะช่วยคุณวาง Digital Strategy ได้ดีขึ้น

จากThe State of Marketing Report 2024 ของ HubSpot ได้บอกไว้ว่า

ปัญหาส่วนใหญ่ที่นักการตลาดมักเจอคือ 1. การสร้าง Traffic และการ Generate Leads 2. การตามกระแสให้ทัน

เทรนด์การตลาดที่ให้ผลลัพธ์จากการลงทุน (ROI) ที่ดีคือ 1. Short-form Videos 2. คอนเทนต์ที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แบรนด์ยึดถือ

และสำหรับเป้าหมายทางการตลาดที่นักการตลาดที่มีกลยุทธ์ที่ดีจะโฟกัสคือ 1. การเพิ่มรายได้และยอดขาย 2. การเพิ่มการรับรู้แบรนด์และการเข้าถึงคนใหม่ 3. การเพิ่มการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า/ผู้ติดตาม

ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ารู้ไว้ก็ดี เพื่อที่จะได้เอาไปประกอบการวางกลยุทธ์การตลาดในปี 2025

นอกจากสถิติต่างๆ เหล่านี้แล้ว การกลับไปรีวิวสิ่งที่คุณทำ และผลลัพธ์ในปี 2024 และดูว่าอันไหนใช้ผลลัพธ์ที่ดี/ไม่ดีก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อที่ว่าจะได้ทำสิ่งที่ดีให้ดียิ่งขึ้น ปรับปรุงหรือเลิกทำในสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี

📖 คอร์สเรียนแนะนำ

ลองคิดดูว่าการทำธุรกิจของคุณจะดีขึ้นขนาดไหน ถ้าคุณเข้าใจ “กลยุทธ์ Digital Marketing” กับคอร์ส Digital Marketing Strategy คอร์สเรียนออนไลน์เรียนรู้กลยุทธ์การทำ Digital Marketing ให้ถึงแก่น เลือกทำในสิ่งที่สร้างผลลัพธ์เพื่อที่จะทำให้การทำการตลาดเติบโตอย่างก้าวกระโดด

3. เทรนด์เกี่ยวกับ Martech

ต้นปี 2024 ทาง Content Shifu ได้ร่วมมือกับ Hummingbirds Consulting ปล่อย Martech Report 2024 (เวอร์ชั่นภาษาไทย และเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็น Martech Report ที่ได้จากการ Survey และ Interview ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญในสายงาน Martech ในประเทศไทยกว่า 400 ท่าน

ซึ่งมี Insights หลายอย่างๆ ที่น่าสนใจ และผมคิดว่าเรื่องที่ผมจะเอามาแชร์ต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ยังคงเป็นเทรนด์ต่อไปในปี 2025

จำนวน Martech ที่บริษัทต่างๆ จะใช้

จากรูปจะเห็นได้ว่าในปี 2023 อยู่ที่ 15-16 ตัว และในปี 2024 นั้น ธุรกิจต่างๆ วางแผนที่จะใช้งาน Martech เพิ่มขึ้นมาเป็น 23 ตัว ซึ่งเพิ่มขึ้น 40-50% เลย

และผมคิดว่าในปี 2025 ปริมาณ Martech ที่ธุรกิจต่างๆ จะใช้นั้นจะยิ่งเพิ่มไปมากกว่านี้อีกครับ

เพราะฉะนั้น ยิ่งจำนวน Martech ที่จะใช้มีจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ การเชื่อมต่อ (Integration) ของ Martech ต่างๆ นั้นจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น

รวมไปถึงเรื่องการทำ Training และ On-boarding ให้กับทีมงานเพื่อให้สามารถใช้งาน Martech ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วยครับ

Martech มหานิยม

รูปทางด้านบนจาก Chiefmartec เป็นรูป Martech ประเภทต่างๆ ที่แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ย่อยอีกมากมาย จนผมต้องพูดแบบติดตลกทุกคร้ังที่มีโอกาสไปแชร์เรื่อง Martech ว่า “จักรวาล Marvel ว่ากว้างแล้ว จักรวาล Martech กว้างกว่ามาก”

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน Martech Provider นั้นมีให้เลือกเพียงแค่หลักร้อยตัว แต่ข้อมูลในปัจจุบันจาก Statista ได้บอกไว้ว่ามี Martech Provider เกือบๆ 10,000 ราย (ซึ่งในความคิดเห็นของผม ถ้านับรวมรายที่ไม่ได้ถูก Track ด้วย น่าจะมีเกิน 10,000 รายไปมาก)

และรูปทางด้านบนนี้เป็นรูปจักรวาล Martech Providers ของไทย (ที่มีเจ้าของเป็นคนไทย) (ผมเคยเขียนบทความ Thai Martech Tools: 80+ เครื่องมือมาร์เทคของไทยที่น่าสนใจ ไว้ ถ้าสนใจหา Tools ไปใช้ ลองเข้าไปดูได้ครับ)

จะเห็นได้ว่ามันก็กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนกัน

ซึ่งใน Thailand’s Martech Report 2024 มีการ Survey เกี่ยวกับ Martech ที่ธุรกิจต่างๆ นิยมใช้ ซึ่งผมขอสรุปข้อมูลออกมาเป็นแบบนี้ครับ

Martech ในหมวดหมู่ที่มีกำแพงเรื่องของภาษา (เช่นพวก Social Listening Tools) และหมวดหมู่ที่ต้องมีการเชื่อมต่อกับ Platform เฉพาะทางที่มีแค่ประเทศไทย (หรืออีกไม่กี่ประเทศ) ใช้งานอย่าง LINE (เช่นพวก Chat Commerce หรือ CRM for B2C) Martech ที่ถูกสร้างโดย Martech Providers ของไทยจะเป็นที่นิยมมากกว่า

แต่ถ้าเป็นหมวดหมู่อื่นๆ Global Martech Providers จะเป็นที่นิยมมากกว่า เช่นถ้าพูดถึง CMS (Content Management System) คนก็จะนิยมใช้ WordPress ที่สุด หรือถ้าพูดถึง CRM for B2B คนก็จะนิยมใช้ Salesforce มากที่สุด

Martech Solutions ในไทยจะเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

ในปี 2025 ผมคิดว่าตลาด Martech มีความน่าสนใจมากๆ

จากที่คุยกับ Global Martech Providers หลายๆ เจ้ามา (โดยเฉพาะเจ้าที่มีฐานลูกค้าเป็น Consumer Businesses) พวกเขาจะเข้ามาเปิดตลาด/ให้ความสำคัญกับตลาดไทย (หรืออย่างน้อยๆ ก็ตลาด APAC) มากขึ้น เพราะบ้านเราเริ่มตื่นตัวกับ Martech มากขึ้น

ส่วน Local Martech Providers เองนั้น ต้องบอกว่าพวกเขามีความเฉพาะทางในการพัฒนา Solution ให้เหมาะกับตลาดไทยอยู่แล้ว

โดยสรุปคือ Martech Solution นั้นจะมีความ Industry & Niche-Specific มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

เพราะฉะนั้นเวลาแบรนด์จะเลือกซื้อ Martech ผมคิดว่าจะต้องพิจารณาให้ดีและคิดให้รอบ เนื่องจากว่า Solutions จะมีมากมายขึ้นมากๆ

Martech กับการทำ Marketing Transformation

ในความเห็นของผม การจะทำ Marketing หรือ Digital Transformation นั้นประกอบไปด้วย 1. แผนที่ดี 2. คนที่ใช่ และ 3. เทคโนโลยีที่เหมาะสม

ซึ่ง Martech ตกอยู่ในหมวดหมู่ “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” ครับ

การจะทำ Transformation ให้เกิดขึ้นได้สำเร็จนั้น หนึ่งในเรื่องแรกๆ เกี่ยวกับ Martech ที่องค์กรต้องทำให้ได้คือทำให้การส่งต่อข้อมูลไร้รอยต่อมากที่สุด

Solution ที่จะมีความสำคัญมากขึ้นได้แก่ Solution ประเภท Business Automation ซึ่งผมขอแบ่งเป็น 1. One-way push และ 2. Two-way sync

ตัวอย่าง Solution ที่เป็น One-way Push เช่น Zapier ที่ช่วยให้คุณสามารถส่งข้อมูลจาก Martech ตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งได้แบบอัตโนมัติ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเขียน Code เพื่อเชื่อมต่อ เช่น มีคนกรอกฟอร์มผ่านหน้าเว็บไซต์แล้ว ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง CRM ทันที (ถ้าต้อง Export/Import เป็นรายวัน ก็ไม่ทันใช้พอดี)

ตัวอย่าง Solution ที่เป็น Two-way Sync เช่น HubSpot Operations Hub หรือ Mulesoft ของ Salesforce ที่ช่วยให้คุณเชี่อมฐานข้อมูล Martech ต่างๆ เข้าด้วยกันได้ และเหมือนกับ Zapier คือ คุณไม่จำเป็นต้องเขียน Code เช่นมีคนทำการยื่นคำขอแก้ไขอีเมลผ่านเว็บไซต์ อีเมลใหม่ก็จะถูกอัปเดตในที่อื่นๆ ของแบรนด์ด้วย (เช่นในระบบ Financial, ระบบ App, ระบบ CRM และที่อื่นๆ)


Shifu แนะนำ

Thailand’s Martech Report 2025 กำลังจะมา… คิดว่าจะเผยแพร่ในช่วงประมาณ Q1/2024 ถ้าสนใจ แนะนำให้ Sign Up อีเมลติดตามไว้เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูล หรือไปดาวน์โหลดเล่มของปี 2024 ไปศึกษาก่อนได้ครับ

 

📖 คอร์สเรียนแนะนำ

Online_Essential Martech Course

อยากลองใช้เครื่องมือ Martech แต่…ไม่รู้ต้องเลือกยังไง ต้องมาเรียนคอร์ส Essential Martech คอร์สเรียนออนไลน์ที่จะพาตะลุยจักรวาลของ Martech ว่าคืออะไร? มีอะไรบ้าง? รวมถึงแนะนำเครื่องมือ Martech ที่น่าใช้งานมากกว่า 10 เครื่องมือ ให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพ

4. เทรนด์เกี่ยวกับ AI

สำหรับเทรนด์เรื่องเกี่ยวกับ AI นั้น ผมขออนุญาตสรุปง่ายๆ ใน 3 คำคือ “มา แรง มาก”

Generative AI คือสิ่งที่นักการตลาดต้องรู้จัก (และใช้งาน)

จริงๆ แล้ว AI อยู่กับโลกของ Digital Marketing มาหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถูกแปลงเป็น Use Case ที่คนทั่วๆ ไปสามารถมี Interaction ด้วยได้

แต่การเกิดขึ้นมาของ Generative AI อย่าง ChatGPT ในช่วงปลายๆ ปี 2022 ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง เพราะ Generative AI เป็น AI ที่ทุกๆ คนสามารถใช้งานเพื่อสร้างสรรค์ชิ้นงานที่เห็นเป็นรูปธรรมออกมาได้

หลักจากที่ ChatGPT ถือกำเนิดขึ้น ก็มี Generative AI ดังๆ ทยอยเปิดตัวมาอีกมากมายเช่น Gemini, Claude และ Perplexity ซึ่งต้องบอกว่าเครื่องมือเหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของจักรวาล Generative AI เท่านั้นเอง

อ่านเพิ่มเติม: Generative AI คืออะไร? รู้จักกับ Generative AI ทั้ง 7 หมวดหมู่

จากรูปทางด้านบนของ Sequoia Capital จะเห็นได้ว่ามีเครื่องมือ Generative AI หลายตัวมากๆ และมันจะยิ่งมากขึ้นกว่านี้อีกเรื่อยๆ ในปี 2025

นักการตลาดใช้ GenAI ทำอะไรกันบ้าง?

เว็บไซต์ Social Media Examiner ได้ทำการ Survey นักการตลาด 1,000 กว่าคนเกี่ยวกับการใช้ GenAI และมีข้อมูลบางอย่างที่ผมคิดว่าสนใจครับ (อาจจะมองข้ามกราฟิกที่ไม่ค่อยสวยไปนะครับ )

นักการตลาดใช้ GenAI ในการขยายข้อมูลทางความคิด หาไอเดียใหม่ๆ และช่วยทำ Research มากที่สุด

สำหรับ Format ของคอนเทนต์ที่นักการตลาดใช้ GenAI ช่วยสร้างยังคงเป็นคอนเทนต์ประเภท Text มากที่สุด แต่คอนเทนต์ประเภทอื่นๆ ก็มีการใช้งานไม่น้อยเช่นเดียวกัน

และสิ่งหนึ่งที่ผมพบว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ ในปี 2024 และน่าจะเป็นกระแสที่มาแรงในปี 2025 คือ GenAI สำหรับการทำคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอ

ตัวอย่างทางด้านบนคือผมเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วสำเนียงภาษาอังกฤษของผมไม่ได้เป๊ะปังเหมือนในคลิป แต่สิ่งที่ผมทำคือการอัดคลิปที่ตัวเองพูด (เป็นภาษาไทย) และอัปโหลดขึ้นไปบน GenAI for Video Platform จากนั้นให้มันเรียนรู้น้ำเสียง วิธีการพูด วิธีการขยับตัวของผม แล้วผมเขียน Script ภาษาอังกฤษใส่ลงไป และให้ GenAI ทำการสร้างวิดีโอขึ้นมา

ผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้น่าจะมี Use Case ในการเอา GenAI สำหรับ Video ไปใช้ในเชิงการตลาดมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการอัดคลิปความรู้ ไลฟ์สดขายของ หรือทำคอนเทนต์ที่ช่วย Support ลูกค้าได้มากขึ้น

มันทั้งน่าตื่นเต้นและทั้งน่ากลัวในเวลาเดียวกันเลยครับ

AI มีแนวโน้มที่จะพลิกฟ้าคว่ำดินโลกการตลาด

เว็บอย่าง Datos ได้ดึงข้อมูลปริมาณคนเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ ผ่าน Desk ในช่วง May 2023 – May 2024 ซึ่งข้อมูลค่อนข้างน่าสนใจ โดยที่ Google ยังคงเป็นเบอร์ 1 ที่คนเข้า แต่ GenAI อย่าง ChatGPT, Claude, Perplexity เองนั้นก็มีจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ที่สูงพอสมควร (ประมาณ 5-10% ของ Google)

และในปี 2024 ที่ผ่านมาทาง OpenAI นั้นก็ได้สร้าง Prototype ของ SearchGPT ขึ้นมา

ตอนนี้คนยังคงใช้ Search Engine อย่าง Google เป็น Platform หลักในการค้นหาอยู่ แต่ผมคิดว่า ในอนาคต การใช้ GenAI เป็นตัวช่วยหาข้อมูลนั้นน่าจะเติบโตขึ้นอีกมาก

นอกจากการทำ Search Engine Optimization แล้ว ในอนาคต เราอาจจะต้องทำ Generative Engine Optimization ด้วยก็เป็นได้

อ่านเพิ่มเติม อนาคตของ Google จะเป็นอย่างไรในวันที่คู่แข่งมาท้าทายทั่วทุกทิศทาง?

นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่จะถูกใช้อย่างแพร่หลายในโลกของการตลาดมากขึ้นคือ Agentic AI หรือคือโมเดล AI ที่สามารถทำงานที่ซับซ้อนมากๆ ได้เองโดยอัตโนมัติ โดยที่ Use Case ที่น่าจะได้เห็นเร็วๆ นี้คือการใช้ Agentic AI กับการทำ Product Personalization ให้กับลูกค้า การทำ Customer Support และ Employee Support ครับ

ซึ่งในปี 2024 ที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่อย่าง Salesforce ก็ได้มีการเปิดตัว Agentforce ที่ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้เริ่มต้นแห่งยุค Agentic AI อย่างเป็นทางการครับ

AI-embedded Tools จะผุดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด

ในการใช้งาน GenAI ผู้ใช้งานจะต้องเขียน Prompt เพื่อสั่งให้ GenAI สร้างสรรค์คอนเทนต์อะไรบางอย่างออกมา

แต่ในปี 2025 นี้ สิ่งที่เราจะเห็นมากขึ้นคือการที่เทคโนโลยีทางการตลาดต่างๆ นั้นเชื่อม AI เข้าไปเป็นหนึ่งใน Workflow การทำงาน โดยที่เราเองอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามันคือ AI หรือต่อให้รู้ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่ง Prompt เพื่อให้งานถูกสร้างออกมา

ตัวอย่างเช่นการที่ HubSpot ได้ทำการแนะนำ Best Time to Send Email ในจังหวะที่ผมกำลังจะส่งอีเมลให้ลูกค้า โดยที่ HubSpot จะใช้ AI คำนวณ Factors ต่างๆ เช่นการปฏิสัมพันธ์ที่คนคนนี้มีต่อบริษัทของผมในอดีต รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ เพื่อแนะนำว่าควรจะส่งอีเมลไปหาเขาช่วงไหนดี

อนาคตของ GenAI

จากที่ผมได้ลองใช้งาน GenAI หลายๆ ตัวมา ผมคิดว่ามันเริ่มเก่งและฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ ถ้าเป็นเนื้อหาภาษาอังกฤษ ผมคิดว่ามันเขียนได้ดีมากๆ แล้ว แต่ของภาษาไทยผมคิดว่าเนื้อหายังไม่สละสลวยเท่าไหร่ ยังร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆ ออกมาได้อย่างไม่เป็นธรรมชาติ แต่มันกำลังเก่งขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ผมคิดว่าสิ่งที่ GenAI สามารถช่วยได้ดีพอสมควรในการทำ Digital Marketing คือการช่วยค้นคว้าหาข้อมูล ที่มันช่วยย่นระยะเวลาในการทำสิ่งต่างๆ และช่วยให้คิดได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

โดยสรุปของในหัวข้อนี้ ในปี 2025 โลกของ AI คงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกมากมายเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมยังเชื่อเสมอเหมือนกับสุภาษิตนี้จากทาง HBR ว่า “AI Won’t Replace Humans — But Humans With AI Will Replace Humans Without AI”

5. เทรนด์เกี่ยวกับ Digital Ads

ข้อมูลตรงส่วนนี้เป็นข้อมูลที่ผมได้มาจาก Thailand Digital Advertising Spend 2024 จากทาง DAAT นะครับ ผมต้องขอบคุณทางสมาคมสำหรับข้อมูลส่วนนี้ด้วยครับ

Digital Spending ของประเทศไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถิติจาก DAAT ได้สรุปไว้ว่า Digital Spending ในปี 2024 ประเทศไทยจะขึ้นไปแตะ 33,859 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

จากรูปทางด้านบน ผมพอจะสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น Digital Spending ก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตอนนี้ทั้งอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในช่วงที่เติบโต

หมวดหมู่ที่มีการเติบโตในการซื้อโฆษณาเยอะที่สุด

หมวดหมู่ที่มีการซื้อโฆษณาเยอะที่สุดตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ Skin-care Preparations, Motor Vehicles, Non-Alcoholic Beverages

สำหรับอุตสาหกรรมที่คาดการณ์ว่าจะมียอดการใช้จ่ายที่เติบโตสูงที่สุดในปี 2024 คือ Skin-care Preparations, Motor Vehicles และ Real Estate

จักรวาล Digital Ads ที่ไม่ได้มีแค่ Social & Search

รูปทางด้านบนเป็นรูปของ Media Spending ตามแพลตฟอร์มต่างๆ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ โลกของ Digital Ads มันไม่ได้เป็นสงครามระหว่างยักษ์ใหญ่แค่ 2-3 รายอีกต่อไปแล้ว แต่มันมีทางเลือกอื่นๆ ให้เลือกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจาก Social Media Platform อื่นๆ (เช่น TikTok, LINE และ Twitter (X)) หรือ eCommerce Platform (เช่น Shopee และ Lazada) รวมไปถึง Ads ตาม Superapps ต่างๆ (เช่น LINEMAN Wongnai & Grab)

เพราะฉะนั้นธุรกิจเองก็ต้องพยายามทำความเข้าใจและเข้าไปทดลองใช้ Digital Ads Platform ตัวอื่นๆ หรือลองกระจายความเสี่ยง เพื่อทำให้ได้รับผลลัพธ์จากการลงทุนซื้อโฆษณากลับมามากที่สุด

📖 คอร์สเรียนแนะนำ

เปลี่ยนจาก “ทำได้” เป็น “ทำเป็น” และ “ทำได้ดี” คอร์ส Facebook Ads Certification คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเปลี่ยนจากการซื้อโฆษณาบน Facebook แบบธรรมดา ไปสู่การสร้างแคมเปญที่มีกลยุทธ์และกลั่นกรองกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้คุณสามารถใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้สูงสุด

6. เทรนด์เกี่ยวกับ Data

ยุคแห่งความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

ในปีที่แล้ว ผมก็เขียนเรื่องนี้ ปีนี้ก็จะเขียนอีก เพราะมันยังคงสำคัญ และจะยิ่งเข้มข้นขึ้นอีก

กลางปี 2022 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act หรือที่รู้จักกันในชื่อ PDPA) นอกจากนั้นแล้วเทรนด์ของโลกเองก็มุ่งมาสู่ทางนี้เช่นเดียวกัน ดังที่จะเห็นได้จาก Research ของ Gartner ที่บอกว่า ภายในปี 2023 ข้อมูลส่วนตัวของคน 65% ของคนบนโลกใบนี้จะถูกกำกับภายใต้กฏเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่ทันกับสมัย ทันกับสถานการณ์

ซึ่งเรื่องนี้ ส่งผลโดยตรงกับธุรกิจในเรื่องการเอาข้อมูลของลูกค้ามาใช้

Google Chrome เปลี่ยนใจ ไม่ยกเลิกการใช้ Cookie

ช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ Google Chrome ประกาศว่าจะ จะ Go Cookieless ภายในปี 2024 ความหมายคือการ Tracking ข้อมูลต่างๆ บน Google Chrome จะมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นมาก และจะทำให้ข้อมูล Third Party Data เช่นข้อมูล Facebook Pixels มีความแม่นยำน้อยลง

แต่ช่วงกลางปี 2024 ที่ผ่านมา พวกเขาได้ประกาศยกเลิก การ Phase Out การใช้ Cookies (ว่าง่ายๆ คือการ Track ข้อมูลโดย Cookies จะยังมีต่อไป)

ซึ่งพวกเขาใช้วิธีเปิด Option ให้ User เลือกเองว่าต้องการจะรับ Personalized Ads ไหม

การใช้ประโยชน์จาก Data ที่ Platform อื่นมีจะยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น

ข้อมูลจาก Priceza Insights ได้บอกไว้ว่า ในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา E-Commerce Marketplace และ Social Commerce Platforms ต่างทยอยปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ซึ่งทำให้ผู้ขายนั้นได้กำไรน้อยลง (จนผู้ขายบางรายพูดว่าค่าใช้จ่ายของการขายออนไลน์มีความใกล้เคียงกับการขายของในห้างแล้ว)

ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก เพราะพวกเขาถือข้อมูลของลูกค้าไว้เป็นจำนวนมหาศาล

First & Zero Party Data จะยิ่งสำคัญ

จากข้อที่แล้ว ถึงจะเลี่ยงไม่ได้ แต่ทุกธุรกิจกระจายความเสี่ยงได้ครับ

การเก็บ First-Party Data (เช่นข้อมูลอีเมล หรือเบอร์โทร) (อ่านเพิ่มเติม: เก็บก่อน รอดก่อน! 10 ไอเดียในการเก็บ First-party Data จากลูกค้า) และ Zero-Party Data (เช่น User Preferences) จะยิ่งมีความสำคัญ เพื่อที่ว่าธุรกิจของคุณจะได้เป็นเจ้าของช่องทางการติดต่อ และสามารถเข้าใจลูกค้าได้ด้วยตัวเอง

CDP เป็นคำที่ถูกใช้งานมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นของที่จำเป็นสำหรับทุกองค์กร

คำศัพท์ที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ เลยมีคนมาปรึกษา (ทั้งแบรนด์และทั้ง Martech Providers) เลยคือคำว่า “CDP” ซึ่งส่วนตัวของผม ผมคิดว่าบริษัทที่ต้องใช้ CDP จริงๆ นั้นมีจำนวนไม่มาก (คือต้องเป็นบริษัทที่มีฐานลูกค้าเยอะ และมี Touchpoints กับลูกค้าหลากหลายช่องทาง) และการจะ Implement ให้ใช้งานได้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

จาก 2024 Martech Composability Survey โดย Chiefmartec & MartechTribe พบว่า

  1. สำหรับบริษัทแบบ B2C หรือ B2B2C CDP เป็นศูนย์กลางของการทำการตลาด แต่ Data Warehouse, Marketing Automation Platform/Customer Engagement Platform และ CRM ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
  2. สำหรับบริษัทแบบ B2B ระบบ CRM และ Marketing Automation Platform/Customer Engagement Platform เป็นระบบที่เป็นศูนย์กลางของการทำการตลาดขององค์กรส่วนใหญ่

สถิติทางด้านบนเป็นของ Global แต่สำหรับของบริษัทในประเทศไทย ผมคิดว่า CRM และ Marketing Automation จะเป็นสิ่งที่เริ่มต้นทำได้ง่ายและเห็นประโยชน์ทันที (Instant Benefits) ได้ชัดเจนกว่า


Shifu แนะนำ

ดาวน์โหลด eBook Marketing Automation เพื่อศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

📖 คอร์สเรียนแนะนำ

ยกระดับกลยุทธ์การใช้งาน GA4 ของคุณให้เป็นมืออาชีพ กับคอร์ส Google Analytics 4 Certification คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นใช้ข้อมูล วิเคราะห์ และเข้าใจหลักการนำข้อมูลใน GA4 ไปใช้ต่อยอดได้แบบ Step by Step หมดปัญหาว่าไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน กลัวเริ่มศึกษาแล้วไม่เข้าใจไปในทันที

7. เทรนด์เกี่ยวกับ Content Marketing

ปัจจัยที่ทำให้การทำ Content Marketing ประสบความสำเร็จ

Semrush แพลตฟอร์มที่ช่วยทำ Content Marketing ได้ทำการ Survey นักการตลาดทั่วโลกกว่า 1,700 คน ในปี 2023 และได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจออกมาหลายอย่าง

ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นของตลาดไทย แต่ผมคิดว่าตัวเลขหลายๆ อย่างน่าสนใจ และเอามาอ้างอิงได้ครับ

สิ่งที่ทำให้การทำ Content Marketing ของนักการตลาดประสบความสำเร็จมีหลายปัจจัย แต่ปัจจุยัที่สำคัญที่สุดคือ 1. การค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ติดตาม (Researching Our Audience) 2. การทำ SEO (Search Engine Optimization) และการเผยแพร่คอนเทนต์มกาขึ้นและบ่อยขึ้น (Publishing More Content, Increasing Posting Frequency)

และปัจจัยที่นักการตลาดใช้วัดผลว่าการทำ Content นั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็มีหลายอย่าง แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ Social Media Engagement, Organic Traffic และ Email Marketing Engagement

ประเภทของคอนเทนต์ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

จาก Report ชุดเดิมของ Semrush บอกไว้ว่าประเภทของคอนเทนต์ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือ Video, Short-form Articles และ Success Stories

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ จักรวาลประเภทของคอนเทนต์มันกว้างใหญ่อยู่เหมือนกัน คุณไม่จำเป็นต้องทำแต่คอนเทนต์ที่ทำง่ายๆ ทุกคนสามารถทำได้ ถ้าอยากสร้างความแตกต่าง การสร้างคอนเทนต์ที่พิเศษมากๆ สามารถช่วยได้ครับ(ตัวอย่างเช่น Thailand’s Martech Report ที่ Content Shifu กับ Hummingbirds Consulting สร้างร่วมกัน)

ทั้งนี้ คอนเทนต์แต่ละแบบก็อาจจะเหมาะกับธุรกิจที่แตกต่างกัน และขั้นตอนในการซื้อที่แตกต่างกัน ผมแนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Content Matrix ได้ที่บทความนี้ครับ

Zero Click Marketing มาแรง

ข้อมูลจาก Sparktoro & Datos บอกไว้ว่าในอเมริกาและยุโรปนั้น เวลาคนค้นหาข้อมูลบน Google ประมาณ 40% ของคนจะคลิกไปดูที่ลิงก์ต่อ ส่วนอีกประมาณ 60% จะไม่คลิกอะไรเลยหรือไม่ก็จะค้นหาต่อ

สิ่งนี้สำคัญยังไง?

มันสำคัญตรงที่คนจะคลิกเข้าไปดูเนื้อหาปลายทางน้อยลง ความหมายก็คือหลายๆ คนคนคาดหวังคำตอบทันทีที่ค้นหาข้อมูล

ซึ่งในความเห็นของผม สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นแค่บน Search Engine แต่เกิดบน Social Media เหมือนกัน ข้อมูลจาก Data Reportal ในปี 2024 ก็บอกไว้ว่า Web Traffic ที่เกิดจาก Platform Social Media ที่คนไทยใช้งานเยอะอย่าง Facebook, YouTube & Instagram นั้นมีปริมาณที่น้อยมากๆ ส่วน X (Twitter) ที่ไม่ได้เป็น Platform หลักที่คนไทยใช้ ยังสามารถทำให้คนคลิกลิงก์ได้ในสัดส่วนที่มากกว่า

เพราะฉะนั้น การทำ Zero-click Marketing หรือทำการตลาดแบบที่คนไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปดูข้อมูลต่อจึงเป็นเรื่องสำคัญ

การทำ Content Marketing ในปี 2025 จึงไม่ได้เป็นการโฟกัสแค่การส่งคนไปยัง Landing Page ที่เราต้องการ แต่ต้องพยายามทำให้สารที่จะสื่อ Offer ที่จะส่ง นั้นครบ จบ ใน Platform ที่คนอยู่ด้วย

Event Marketing มาแรง

ในปี 2024 เทรนด์การจัดอีเวนต์โดยสื่อ และแบรนด์ต่างๆ มาแรงมาก เรียกได้ว่าเป็นปีที่ Peak มากๆ เลยก็เป็นได้ เพราะ Event Marketing เป็นหนึ่งในวิธีการสร้างอิทธิพลทางความคิดในใจคนที่ทรงพลังที่สุด

ในปีที่ผ่านมาการจัดอีเวนต์เริ่มจะกลายเป็นการจัดแบบ Hybrid มากขึ้น คือไม่ได้มีแค่ Offline หรือ Online เพียวๆ แต่จะผสานทั้ง 2 อย่างเข้าด้วยกัน เช่นจัด Offline และสามารถดู Online ย้อนหลังได้ในระยะเวลาที่กำหนด

จากที่คลุกคลีในวงการการจัดอีเวนต์มา ผมคิดว่าอีเวนต์สเกลใหญ่ๆ แบบ Conference ที่มีจำนวนคนเป็นหลักหลายพันคนน่าจะมีน้อยลง สาเหตุเป็นเพราะผู้จัดจะต้องมี Unique Selling Point ของงานที่ชัดเจน และมี Competitive Advantage บางอย่าง ถึงจะจัดแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มแรง และไม่ขาดทุน

8. เทรนด์เกี่ยวกับ Social Media Marketing

สถานการณ์ Social Media ในระดับ Global

ผมขอยกเอาข้อมูลจาก DataReportal (Global Stats) ที่ออกมาในช่วงมกราคม 2024 มาเล่าให้ได้อ่านกันนะครับ

Facebook ก็ยังคงเป็น Social Media Platform ที่มีคนใช้งานมากที่สุดอยู่ ตามมาด้วย YouTube, Whatsapp, และ Instagram สำหรับแอปจากฝั่งจีนอย่าง TikTok และ Wechat ก็ตามมาเป็นอันดับ 5 และ 6

แต่เมื่อไปดูถึงเรื่องเวลาที่คนใช้งาน ปรากฏว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีคนใช้งานเป็นระยะเวลานานมากที่สุด

และคนเข้าไปใช้งานแต่ละแพลตฟอร์มด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป เช่นคนชอบไปที่ TikTok เพื่อดูคอนเทนต์ที่สนุกสนาน เข้าไปที่ Facebook เพื่อคุยกับเพื่อนและครอบครัว และเข้าไปที่ Instagram เพื่อแชร์รูปและวิดีโอ

สถานการณ์ Social Media ในประเทศไทย

ทีนี้มา Zoom In ลงมาที่ประเทศไทยกันบ้าง ด้วย Report ของ DataReportal เจ้าเดิม แต่โฟกัสเฉพาะของประเทศไทย (Report เล่มนี้ออกมาในเดือนมกราคม 2024)

Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่เป็น “ที่รัก” ของคนไทยมากที่สุด จากนั้นตามมาด้วย TikTok, LINE และ Instagram

ซึ่งต่างกับของต่างประเทศที่ Instagram, Whatsapp, Facebook และ Wechat นั้นเป็นที่รักมากที่สุด

ความเห็นอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Social Media ในไทย

ถึงแม้ว่า Facebook จะยังเป็นแพลตฟอร์มที่คนใช้งานและชอบมากที่สุด แต่ในเชิงธุรกิจแล้ว ก็ถือว่าค่อนข้างท้าทายเลย เพราะปริมาณ Engagement ในปัจจุบันถือว่าต่ำมากๆ (0.02-0.05% หรือคิดง่ายๆ ว่า ถ้ามีคนเห็นคอนเทนต์ของคุณ 10,000 คน จะมีคนไลก์ คอมเมนต์ หรือแชร์ 2-3 คนเท่านั้น) และผมคิดว่าเรื่อง Reach เองก็คงต่ำไม่แพ้กัน สาเหตุหลักก็เป็นเพราะธุรกิจแทบจะทุกธุรกิจ ครีเอเตอร์ทั่วบ้านทั่วเมือง นั้นใช้งาน Facebook ทั้งนั้น แต่ Facebook เองก็ถูกแอปอื่นที่มาแรง แย่งเวลาของผู้ใช้งานไป

แอปที่มาแรงที่ว่าในที่นี้คือ TikTok ซึ่งส่วนตัว จากที่ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเรื่อง TikTok หลายๆ ท่าน และจากการสังเกตส่วนตัว ผมคิดว่า Honeymoon Period ในปี 2025 ก็น่าจะจบลง (คำว่า Honeymoon Period คือช่วงที่ Reach/Engagement กระจาย) สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าแบรนด์ต่างๆ เข้ามาทำการตลาดบน TikTok มากขึ้น ทุ่มเม็ดเงินลงมามากขึ้น ซึ่งผมคิดว่าก็เป็นไปตามหลัก Demand/Supply เลย คือ TikTok มีอำนาจในการต่อรองกับทุกๆ ฝ่ายมากขึ้น

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า Honeymoon Period จะจบลง ก็ไม่ได้หมายความว่าความรักจะจบตาม  ผมคิดว่า TikTok ก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโต และมีโอกาสมากมายอยู่ในนั้นครับ

มีข้อมูลอีกชุดหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากๆ คือ Platform ที่ส่งคนไปยังเว็บไซต์ที่เติบโตมากที่สุดคือ Twitter (X) คือถ้าเทียบกับระดับ Global แล้ว ของ Global จะเป็น Facebook

ตัว Twitter (X) เองนั้นค่อนข้างมีความเฉพาะกลุ่มและเฉพาะทาง แต่ถ้าแบรนด์หรือธุรกิจไหน Crack มันออกได้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นตัวช่วยในการเพิ่มยอดขายหรือยอดคนเข้าชมเว็บไซต์ได้ดีครับ

ข้อมูลจาก The State of Marketing Report จาก HubSpot ได้บอกไว้ว่า Social Media จะเป็นพื้นที่สำหรับการค้นหาข้อมูล การขาย และการบริการ

โดยที่พวกเขาบอกว่า Social Media เป็นช่องทางหลักในการพบเจอสินค้าต่างๆ สำหรับ Gen Z และ Millennials และกว่า 87% ของคนที่ขายของผ่าน Social Media บอกว่าช่องทาง Social Media เป็นช่องทางที่เวิร์คที่สุด และ 19% ของผู้ใช้งาน Social Media นั้นส่ง DM หาแบรนด์เพื่อขอรับการบริการ

สถิติทางด้านบนนี้เป็นสถิติของทั่วโลก ซึ่งผมคิดว่าของประเทศไทยเองนั้น ตัวเลขคงสูงกว่านี้มากๆ เพราะคนไทยเราใช้ Social Media สำหรับการทำธุรกิจมาเป็นระยะเวลานานแล้ว

Social Commerce, Live Commerce & Affiliate Marketing จะยังคงร้อนแรง

ข้อมูลจากงาน Thailand Influencer Awards 2024 บอกไว้ว่าทั่วโลกมีปริมาณ Creator ถึง 200 ล้านคน และในไทยมี Full-time Creator ถึง 2 ล้านคน และมี Part-time Creator อีกถึง 9 ล้านคน ซึ่งผมคิดว่าเป็นปริมาณที่เยอะมากๆ

ซึ่งสาเหตุที่ผมเขียน Social Commerce, Live Commerce & Affiliate Marketing ให้อยู่ในหัวข้อเดียวกันเพราะว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันมากๆ

คนไทยใช้งาน Social Media ในการซื้อขายของมาหลายปีแล้ว และ Live Commerce ก็เป็นอีกช่องทางการขายที่เติบโตขึ้นมากๆ ซึ่งนอกจากการที่แบรนด์ Live ขายของเองแล้ว Creator เองก็หันมา Live ขายของให้แบรนด์ควบคู่ไปกับการทำ Affiliate Marketing เช่นกัน (Creator ไม่ต้องมีของเอง แต่ช่วยแบรนด์ขายของ ถ้าขายได้ Creator ก็ได้ค่า Commission)

นอกจากนั้นแล้ว ในปีที่ผ่านมา ในปีที่ผ่านมา Meta และ YouTube เองก็จับมือร่วมกับ Shopee ทำให้เจ้าของเพจ/ช่องสามารถปักตะกร้านำเอาสินค้าที่ขายบน Shopee มาขายระหว่างการ Live ได้ ทำให้เจ้าของเพจ/ช่อง สามารถสร้างรายได้จากการทำ Affiliate Marketing อีกด้วย

เมื่อยักษ์ขยับ คนที่ต้องปรับก็คือเรา

วิดีโอสั้นยังไปต่ออีกยาวๆ

หลังจากที่ TikTok เป็นผู้จุดกระแสวิดีโอสั้น Platform อื่นๆ ก็ตามกระแสนี้มา และเทรนด์คลิปสั้นนี้ยังไปต่อได้อีกยาวๆ ครับ

ซึ่งพอพูดถึงวิดีโอสั้นในปัจจุบันนี้แล้ว มันอาจจะไม่ได้หมายถึงแค่วิดีโอที่มีความยาวต่ำกว่า 1 นาที

ทาง TikTok ที่เป็น Platform ที่จุดกระแสวิดีโอสั้น ก็อนุญาตให้ผู้ใช้งานโพสต์คลิปที่ยาวกว่า 1 นาทีได้มา 1-2 ปีแล้ว ส่วนของ Meta (Facebook & Instagram) เอง ถ้าคลิปสั้นกว่า 1.30 นาที ก็จะถูกจัดว่าเป็นคลิปสั้น (Reels) และในช่วง Q4/2024 ที่ผ่านมา YouTube เองก็ขยายความยาว YouTube Shorts จาก 1 นาทีเป็น 3 นาทีเรียบร้อยแล้ว

รูปทางด้านบนเป็นรูป Research จากทาง Wisesight ที่บอกว่าคลิปสั้นที่ไปได้ดีกว่า 34% นั้นมีความยาวมากกว่า 1 นาที

โดยสรุปในหัวข้อนี้คือ คุณไม่จำเป็นต้องทำคลิปให้มันสั้นกว่า 1 นาทีก็ได้ ถ้าเรื่องไหนที่ต้องอธิบายเนื้อหามากกว่า 1 นาที การโพสต์คอนเทนต์ยาวกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

อ่านเต็มๆ เกี่ยวกับ Social Media Marketing Trends ในปี 2025 ได้ที่นี่

สรุป: เทรนด์การตลาดออนไลน์ปี 2025

และนี่คือการวิเคราะห์เทรนด์การทำการตลาดออนไลน์ทั้ง 8 เรื่องนะครับ

หมวดหมู่เหล่านี้ (Consumer, Digital Strategy, Martech, AI, Digital Advertising, Data, Content Marketing และ Social Media Marketing) เป็นหมวดหมู่สำคัญที่ทุกคนควรจะต้องรู้เพื่อที่จะทำการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว เรื่องต่างๆ ที่ผมเขียนแชร์เกี่ยวกับเทรนด์ของปี 2025 เป็นสิ่งที่คุณควรรู้ไว้และปรับตัวตาม แต่อย่าลืมทำเรื่องพื้นฐานต่างๆ ให้ดีด้วยนะครับ

สุดท้าย หวังว่าบทความเทรนด์การตลอดออนไลน์ 2025 นี้จะเป็นประโยชน์ และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การทำการตลาดออนไลน์ของคุณในปีหน้าสำเร็จตามที่คุณตั้งเป้าไว้นะครับ

ป.ล. ผมใช้เวลาในการตกผลึก และหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเขียนบทความนี้หลายสิบชั่วโมง และผมยินดี ถ้าคุณจะเอาเนื้อหาบางส่วนไปอ้างอิงต่อ ซึ่งผมจะขอบคุณมากๆ ถ้าคุณช่วยส่งลิงก์กลับมายัง https://contentshifu.com/blog/digital-marketing-trends ด้วยนะครับ :)

📖 คอร์สเรียนแนะนำ

อยากอัปเดตเทรนด์ Digital Marketing แบบเจาะลึก พร้อมทั้งรับฟังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และอุตสาหกรรมที่คุณอยู่? ทาง Content Shifu สามารถจัดคลาสยาว 1-6 ชั่วโมง เกี่ยวกับเรื่อง Digital Marketing Trends ให้คุณได้ ติดต่อเราเพื่อสอบถามรายละเอียดกับการอบรมในองค์กร (In-house Training)

Share on

Bank Sitthinunt

Writer

Bank Sitthinunt

เจ้าของเว็บไซต์ Content Shifu นอกจากเรื่อง Inbound Marketing, Digital Marketing และ MarTech แล้ว ยังสนใจเรื่อง Entrepreneurship, Productivity, Self-Development และ Talent Development รวมถึงเป็นแฟนตัวยงของทีม Manchester United อีกด้วย

More From Me