เมื่อธุรกิจ B2B อยากสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ เพื่อสร้าง Lead (รายชื่อว่าที่ลูกค้า) จะมีวิธีไหนที่ช่วยให้การทำ Lead Generation ได้บ้าง? อีกหนึ่งความท้าทายที่สาย B2B ไม่ควรพลาด ในบทความนี้เราจะชวนคุณไปทำความรู้จักเทคนิคหรือแนวทางในการค้นหาลูกค้าที่ใช่

Shifu แนะนำ
Lead Generation คืออะไร?
Lead Generation หมายถึง “การสร้าง Lead” หรือก็คือการหากลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะมาเป็นลูกค้า หรืออาจะเรียกว่า ‘ว่าที่ลูกค้า’ ก็ได้ ซึ่งนักการตลาดมักจะคุยกันเรื่อง Lead Generation ว่าจะมีวิธีการทางการตลาดอะไรบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่ง Lead

หากธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจแบบ B2B แต่ยังไม่รู้ว่าจะสร้าง Lead ออนไลน์ยังไง วันนี้เราได้มาสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อแชร์ความรู้ในเรื่องนี้ ถ้าอยากรู้ว่ามีแนวทางอย่างไรบ้าง ตามไปอ่านบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เรานำมาฝากกันเลยด้านล่าง 🙂

พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ

คุณ Mark McDowell ตำแหน่ง CEO, Primal Digital Marketing Agency

คุณมาร์ค: สวัสดีครับ ผม Mark McDowell CEO ของบริษัท Primal Digital Marketing Agency ครับ ที่ Primal เรามุ่งเน้นการทำกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เป็นแบบ Data-Driven คือเน้นให้ลูกค้าของเราได้รับ ROI 

เราดูแลแบรนด์ชั้นนำมากมายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมากกว่า 250 แบรนด์ นอกจากทีมงาน Primal ที่ประเทศไทยแล้วยังมีที่มาเลเซียอีกด้วย รวมๆ กว่า 150 คนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการตลาดออนไลน์ที่ดูแลงานให้ลูกค้าของเรา และยังได้ Google review จากลูกค้าของเรากว่า 170 รีวิวที่เป็น 5 ดาว

ที่สำคัญตอนนี้ Primal อยู่ภายใต้แบรนด์ Superist ซึ่งเป็นชื่อ Global brand ของเรา รวบรวมดิจิทัลเอเจนซี่ในเครือกว่า 7 บริษัท ใน 9 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และ บราซิล ซึ่งมั่นใจได้ว่าลูกค้าของเราจะได้รับการทำ Digital Marketing อย่างทันสมัยที่สุด

ทำไมธุรกิจ B2B ควรสนใจหรือให้ความสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์?

คุณมาร์ค: จริงๆ Marketing ธรรมดาก็สำคัญอยู่แล้วกับทุกธุรกิจ แต่เนื่องจากตอนนี้คือแทบจะทุกคนที่ใช้สื่อและแพลตฟอร์มออนไลน์ กันแทบจะทุกวัน ดังนั้น การทำการตลาดออนไลน์จึงกลายเป็นช่องทางที่หลายๆ ธุรกิจควรให้ความสนใจ เป็นโอกาสที่ดีที่สามารถเพิ่มการรับรู้ของธุรกิจให้กับลูกค้าของคุณในอนาคตได้

ผมมองว่าผู้บริโภคอยู่ในตลาดอยู่แล้ว คนยิ่งผันตัวมาใช้ช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ธุรกิจแบบ B2B Trends ก็จะเปลี่ยนไป เพราะมี Digital Transformation และผู้คนที่เปลี่ยนเป็น Online Consumer กันแล้ว ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปใช้ Online Space มากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนจะรู้ว่าต้องทำการตลาดออนไลน์ แต่จะทำอย่างไรให้ไปถึงคนที่เราอยากได้มาเป็นลูกค้าหรือคู่ค้าธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ นั่นคืออีกสเต็ปที่ต้องมาคิดกันต่อ

ผมมองว่าถ้าธุรกิจที่ยังไม่ได้ใช้ช่องทางออนไลน์เข้ามาช่วย ธุรกิจนั้นๆ อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ยิ่งถ้าธุรกิจยังคงใช้วิธีเดิมๆ คือการรอ Connection หรือ Referral ที่จะแนะนำธุรกิจเราให้ หรือให้ Sales Team โทรหาลูกค้าอย่างเดียว คือมันยังทำได้ครับ แต่ว่ามันไม่สามารถทำแบบขนาดใหญ่หรือเพิ่มยอดได้เยอะๆ ยกเว้นว่าต้องเพิ่มคนให้มากขึ้น เพื่อให้มีกำลังในการหากลุ่มลูกค้ามากขึ้นครับ

แต่การตลาดออนไลน์มันต่างออกไป มันวัดผลได้ ลงเงินมาก-น้อย ได้ตามสถานการณ์ สามารถพยากรณ์รายได้ที่จะได้จากช่องทางต่างๆ ได้ และทีม Sale ของคุณเองก็สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มคนที่เข้ามาหาธุรกิจ ซึ่งแน่นอนเราจะเห็นคนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ “สนใจ” ในธุรกิจแล้ว เพราะเขาเจอเรามาจากช่องทางออนไลน์ที่เขากำลังค้นหา ดังนั้น การพูดคุยกับกลุ่มคนที่มี Intention กับแบรนด์อาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย

ที่ผมกล่าวมา คุณคงเห็นภาพในส่วนของ Outbound Sales (แบบวิธีเก่า) และ Inbound Sales อย่างหลังที่ ผู้คนเข้าหาคุณ และอาจจะเป็นคนที่อาจผันมาเป็นลูกค้าของคุณในท้ายที่สุด มันไม่ใช่ว่าวิธีที่มีอยู่ไม่ดี แต่ผมมองว่าการทำการตลาดออนไลน์จะช่วยเพิ่มให้ธุรกิจเจอคนที่ใช่ด้วยการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วยครับ

แนวทางการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ B2B

การทำการตลาดออนไลน์ จะช่วยเพิ่ม Brand Awareness ไปจนถึง Conversion และได้ยอดขายกลับมาในที่สุด ยิ่งกับธุรกิจแบบ B2B ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการร่วมธุรกิจได้มากขึ้น เพราะสามารถหาข้อมูลและเจอกันได้จากทั่วทุกมุมโลก

เช่น เจอจากพวกโฆษณาออนไลน์จาก Facebook Ads ซึ่งเมื่อเจอแล้วก็อาจไปทำการค้นหาต่อที่ Google เพื่อหาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ มากขึ้น ดังนั้น การตลาดแบบ Digital Marketing จะเข้าไปสู่ทุก Touchpoint ของผู้คนใน Customer Journey ซึ่งสำคัญมากที่ธุรกิจแบบ B2B ต้องให้ความสนใจ

ผมคิดว่าทุกๆ ธุรกิจ B2B ควรที่จะต้องมีตัวตนอยู่บน Google ให้ได้ เพราะเมื่อผู้คนจะค้นหาอะไรสักอย่าง หนึ่งในเครื่องมือที่เป็นที่นิยมคือการค้นหาบน Google ไม่ว่าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ หรือ Products ต่างๆ 

นั่นหมายถึงว่าพวกเขาคือกลุ่มคนที่มีความสนใจ หรือมีความต้องการอยู่แล้ว ยิ่งถ้าธุรกิจ B2B มีโอกาสได้แสดงตัวตนบน Google มากเท่าไหร่ ยิ่งหมายความว่ามีโอกาสที่จะเจอผู้คนที่กำลังสนใจในธุรกิจได้มากขึ้นเท่านั้น และสามารถดึงพวกเขาเข้ามาเป็นลูกค้าได้ในท้ายสุด

ตัวอย่าง ภาพแสดงการค้นหาคำว่า ‘SEO Agency’ บน Google

ซึ่งธุรกิจแบบ B2B ส่วนใหญ่มองในเรื่องของ Relationship เป็นสำคัญ ทำให้ในธุรกิจเหล่านี้มักจะมีทีมขายเพื่อเพิ่มยอด Lead Generation อยู่เสมอเพื่อพยายามหา Qualified Lead หรือคนที่มีคุณภาพ ตรงกับลูกค้าเป้าหมายที่เราอยากได้ มากรอกแบบฟอร์ม (เพื่อเก็บเป็นคลังข้อมูล) และติดต่อคนเหล่านี้เพื่อพูดคุย (Engage) จนสามารถปิดการขายได้ในที่สุด

ผมจึงมองว่า Google ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ดี ที่จะทำให้ได้ลูกค้าที่ตรงกับความคาดหวังมากขึ้น ซึ่งตัวแพลตฟอร์มของ Google เอง ที่มีการทำการตลาดแบบ SEM ซึ่งประกอบด้วย SEO และ PPC ก็ค่อนข้างที่จะครอบคลุมกลุ่มคนที่อาจผันตัวมาร่วมทำธุรกิจแบบ B2B กับคุณได้นั่นเอง

ในประเทศไทย Facebook ก็ถือว่าเป็นอีกแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมใช้เยอะมาก นี่ก็เป็นอีกโอกาสในการเริ่มสร้าง Brand Awareness ให้คนสามารถเข้าถึงธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าเราเลือก Target ที่ดีด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจ

ที่สำคัญ ถ้าทำการตลาดออนไลน์ผ่านทั้ง Google และ Facebook แบบทำงานร่วมกัน ให้ครบได้ทั้ง Top, Middle และ Bottom เลย เพราะอย่างที่กล่าวไป Facebook จะช่วยไปหาคนที่ไม่เคยรู้จักธุรกิจเราเลย หรือคนที่พอรู้จักอยู่แล้ว อาจจะเพราะผ่านตามาบ้าง เมื่อเขามาที่ Google Search ต่อ ก็จะได้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจหรือสินค้ามากขึ้นนั่นเองครับ

ถ้าหากธุรกิจแบบ B2B อยากทำการตลาดออนไลน์ ต้องเริ่มจากอะไร?

คุณมาร์ค: ถ้าให้ผมแนะนำ คุณมี 3 วิธีด้วยกันครับ คือ

  1. เริ่มด้วยการตั้งทีมที่เป็น Digital Marketing Team แบบ Internal โดยการจ้างคนในสายงานที่มีความเชี่ยวชาญในการตลาดออนไลน์มาเลยให้เป็นทีมที่อยู่ในบริษัทของคุณเอง
  2. จ้างเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยในการทำการตลาดออนไลน์

ซึ่งความแตกต่างของ 2 วิธีแรกคือ หากคุณเลือกการจ้างเอเจนซี่ นั่นหมายความว่าทุกคนคือ Specialist ในด้านนั้นๆ มีประสบการณ์และพร้อมลุยงาน เริ่มงาน รันแคมเปญได้เลย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถได้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่าและโตไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาหาคนมาอยู่ใน Inhouse หรือเมื่อได้มาแล้วยังต้องทำการเทรนอีก ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามมา ตรงนี้ผมยกตัวอย่างให้เห็นในเรื่องของ “เวลา” กับการได้มาซึ่งผลลัพธ์ให้ธุรกิจนะครับ ที่เอเจนซี่จะช่วยประหยัดและสร้างยอดให้คุณได้ และขอเพิ่มเติมในมุมของเอเจนซี่อีกมุมคือ เอเจนซี่ส่วนใหญ่จะมี Data Insight จากแพลตฟอร์มชั้นนำที่คอยอัปเดตให้ก่อนที่คนทั่วไปจะรู้ด้วย ดังนั้น เอเจนซี่จึงค่อนข้างปรับตัวได้เร็ว ได้ทดลองเทสต์ว่าอะไรดี ไม่ดี ไม่เสียเวลาเมื่อต้องรันงานให้ลูกค้าจริงๆ ครับ แต่ต้องบอกด้วยว่าการสร้างทีมภายในบริษัทอาจจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีก็ได้ในบางธุรกิจ

3. Mix ทั้ง Internal Team กับ เอเจนซี่ไปเลย คือมี Digital Marketing Manager อยู่แล้ว และทำงานควบคู่กับเอเจนซี่ เป็นแบบ Hybrid Model ซึ่งแบบนี้อาจเป็นทางเลือกให้บริษัที่มีทีมอยู่ แต่ต้องการผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยอีกทีหนึ่ง และทำให้ทีมเก่งขึ้นได้ด้วยในอนาคต ผลลัพธ์ที่ได้มาทางทีมก็จะได้เรียนรู้ไปพร้อมกับเอเจนซี่ ซึ่งอาจจะประหยัดเวลาได้เหมือนกันครับ

แชร์วิธีการสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์สำหรับธุรกิจ B2B หรือจะมีวิธีการสร้าง Lead Generation เพื่อหาลูกค้าได้อย่างไรบ้าง?

คุณมาร์ค: จริงๆ เริ่มจากการทำและแชร์ Content ได้เลยครับ สามารถสร้างคอนเทนต์แบบรู้ว่าตลาดต้องการอะไร หรือ Audience ของพวกเขาอยากจะอ่านอะไรก็ได้ เช่น หากคุณมีเว็บไซต์ หรือ Blog คุณนำเนื้อหาที่น่าสนใจมาทำ E-book ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หรือสนใจอยู่แล้ว เขาก็จะดาวน์โหลด E-book ออกมา

ซึ่งในขั้นตอนนี้เขาจะเข้ามากรอกข้อมูลเพื่อทำการดาวน์โหลด (ในส่วนนี้สิ่งที่คุณจะได้ เช่น ชื่อ อีเมลบนแบบฟอร์ม เพื่อเก็บ Lead) หลังจากนั้นคุณก็สามารถโฆษณาออนไลน์ไปหากลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มที่เหมือนเป็นเป้าหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นผ่านช่องทาง Facebook Ads, Google Ads, Instagram Ads, LinkedIn Ads หรือช่องทางอื่นๆ

ตัวอย่าง รายละเอียดคนที่สนใจกรอกเข้ามาและถูกเก็บในระบบคลังข้อมุลของ Primal สามารถทราบได้ว่าพวกเขามาจากช่องทางไหน และมีพฤติกรรมอะไร เป็นต้น

ธุรกิจเมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มาแล้ว นอกจากจะสามารถนำมาช่วยในการกำหนดกลุ่มคนที่จะโฆษณา ยังสามารถทำให้พวกเขา Connect กับแบรนด์เพิ่มได้อีกด้วย ถ้าเกิดธุรกิจนั้นมีการทำ CRM ผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น HubSpot ก็สามารถทำ Email Marketing ได้ พยายาม Nurturing พวกเขาไว้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือต่อไป สร้าง Connection ไว้ และอาจทำให้พวกเขาเข้ามาเป็นลูกค้าได้ในอนาคตครับ

ตัวอย่างการทำ Email Marketing ที่ผมกล่าวไปนั้น เราสามารถทำแบบระยะยาวได้ เพราะหากเราทำ Email Marketing แบบต่อเนื่อง เมื่อพวกเขากำลังสนใจอะไรบางอย่าง แบรนด์ของเราก็อาจจะยังอยู่ในใจของพวกเขาได้ เพราะเขาเห็นแบรนด์ของเรามาตลอด และอาจเริ่มมีความเชื่อถือกับแบรนด์แล้ว ซึ่งนี่ก็คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่เราจะได้มาซึ่ง Lead นั่นเอง

ตัวอย่าง การ Tracking Email Marketing ส่งให้คนที่กดสนใจในธุรกิจเรา แต่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าเรา

อย่างของที่ Primal ผมเองก็สร้าง Landing Page มาใหม่เพื่อไว้เก็บข้อมูลผู้คนออนไลน์ อย่าง พวกชื่อ อีเมลของพวกเขา ผมสร้างแบบเป็นหน้าเดียว เพื่อทำการตลาดออนไลน์แบบเน้นเก็บข้อมูล แล้วผมก็ไปทำโฆษณาออนไลน์ เช่น Google ads, Facebook ads แล้วทำให้พวกเขา “สนใจ” ในธุรกิจเรา และมายังหน้า Landing Page ที่สร้างไว้ จากนั้นพยายามให้พวกเขากรอกข้อมูลเพื่อที่จะได้เขาเข้ามาอยู่ในระบบ หลังจากนั้นเมื่อได้ข้อมูล B2B Sale Team ของผมก็จะทำการติดต่อไปหาคนที่กรอกข้อมูลเข้ามา

ซึ่งข้อความและเนื้อหาของคุณที่แสดงบนหน้า Landing Page สำคัญมากว่าจะทำให้เขากรอกได้ไหม ผมขอแชร์ว่าธุรกิจแบบ B2B ส่วนใหญ่จะมีการพูดถึงคำประมาณว่า ปรึกษาฟรี  ดาวโหลดกลยุทธ์ฟรี หรือ รับข้อเสนอฟรี เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ผู้คนยินยอมที่จะกรอกข้อมูลให้เพราะเขาได้อะไรตอบแทน

[Case Study] ยกตัวอย่างธุรกิจ B2B ที่ใช้การตลาดออนไลน์เข้ามาช่วยในการทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ

คุณมาร์ค: ผมยกตัวอย่าง Primal แล้วกันครับ เพราะเราก็เป็น B2B ซึ่งพวก Lead ที่เราได้ก็มาจากการที่ทำโฆษณาออนไลน์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น SEO, Performance Marketing, Social Media Content Marketing ต่างๆ หรือมาจากการสร้าง Reputation ให้กับแบรนด์ ทุกอย่างที่ Primal ทำเป็นแบบออนไลน์ทั้งหมด เราไม่ได้ทำ Offline เช่น Event ต่างๆ เลย ซึ่งที่ทีม Business Strategist  ของเราทำคือ แค่ตอบอีเมลที่คนกรอกเข้ามาว่าสนใจใน Digital Marketing ของเรา เราไม่ต้องคอยโทรเพื่อหาลูกค้า แต่ Lead หรือคนที่สนใจ พวกเขาทั้งหมดจะเข้ามาหาเราจากช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นรูปแบบการทำการตลาดอีกรูปแบบหนึ่ง คือการทำการตลาดแบบดึงลูกค้าเข้ามาหาเรานั่นเอง

ตัวอย่าง หน้าเว็บไซต์ที่ทำเพื่อ Lead Generation เพื่อทำการตลาดต่อจนปิดการขาย

ผมว่าวิธีนี้ประสบความสำเร็จมากครับ เพราะสมมติคุณจ่ายเงิน 10 บาท ให้ Online Marketing คุณจะรู้ว่าได้รับผลตอบแทน 20 บาทกลับมา เพราะการตลาดออนไลน์ สามารถปรับเพิ่ม-ลด Budget ใน Marketing Campaign เพื่อจะทำให้ได้จำนวนมากกว่าเดิม (คุณจะรู้ว่า Cost ต่างๆ และ Return มีราคาเท่าไหร่จากการ Tracking และดูผลผ่านช่องทางออนไลน์)

อย่างของ Primal ทุกๆ วันก็มี Lead เข้ามาจำนวนมาก ทำให้ทีมของเรามีโอกาสติดต่อ และปิดการขายในที่สุด เราไม่ต้องเสียเวลาออกไปตามหาลูกค้า หรือไม่ต้องรอจาก Referral ให้คนคอยแนะนำมาทำงานกับบริษัทเรา เพราะบางทีการทำออนไลน์ ผมก็ได้ Referral มาเองเพิ่มขึ้นด้วย เหมือนเป็นการขยายฐานจากลูกค้าของเราที่มาจากช่องทางออนไลน์แล้วบอกต่อไปยังธุรกิจอื่นๆ ของพวกเขา ผมมองว่า B2B เองสามารถใช้การตลาดออนไลน์มาช่วยพยากรณ์เพิ่มยอด Lead จบการขาย และขยายฐานลูกค้าได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ตัวอย่าง ภาพคลังข้อมูล Lead ของ Primal

Online Marketing ในแบบฉบับของ Primal เป็นอย่างไร?

จริงๆ ความหมายทั่วๆ ไป ก็คือการขายบนช่องทางออนไลน์ แต่ผมขอเพิ่มเติมในส่วนที่ว่า Online Marketing เป็นการ Connect กับผู้คนที่อยู่ใน Digital Space อยู่แล้ว ซึ่งพวกเราทุกคนที่อยู่บน Space ตรงนี้ ไม่ว่าบริษัทจะเป็นแบบ Traditional Company หรือไม่ก็ตาม ผมเชื่อว่าในอนาคตเร็วๆ นี้พวกเขาเองก็ต้องปรับตัว ให้อยู่บนโลกออนไลน์ และปรับตัวมาทำการตลาดออนไลน์กันมากขึ้น เพราะทุกอย่างจะจบที่ออนไลน์ครับ

สรุป

หนึ่งในวิธีที่จะทำให้ธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น หรือได้มาซึ่ง Lead ก็คือ การทำการตลาดออนไลน์ หากธุรกิจของคุณยังไม่เริ่มทำการตลาดออนไลน์ล่ะก็ คุณสามารถเริ่มต้นได้เลยตั้งแต่วันนี้ โดยการวางรากฐานการเข้าถึงลูกค้าที่ดี ด้วยการเลือกใช้คอนเทนต์และช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสม เพื่อเข้าหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง เช่น ทำการตลาดบนแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมอย่าง Google และ Facebook หรือสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ผ่านการทำ SEO เป็นต้น

แน่นอนว่าการทำการตลาดแบบออฟไลน์หรือการสร้างความสัมพันธ์บนโลกออฟไลน์นั้นยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับธุรกิจแบบ B2B แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคุณสามารถหาลูกค้าหรือ Lead เพิ่มได้ด้วยการทำการตลาดแบบออนไลน์? ดังนั้นถ้าคุณยังไม่ได้เริ่มต้น หรือคิดว่ายังพัฒนาได้อีก นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้และมาเริ่มต้นกันอีกครั้งค่ะ

ตาคุณแล้ว

แล้วคุณล่ะ? หากธุรกิจของคุณก็เป็น B2B แล้วคุณมีวิธีการสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ได้อย่างไรบ้าง? มีวิธีอื่นๆ หรือมุมมองที่แตกต่างที่คุณใช้แล้วได้ผลมาแบ่งปันกันไหม? ถ้ามีก็มาแชร์กันได้เลยนะคะ ไม่แน่ว่าวิธีของคุณอาจจะช่วยสร้างมุมมองและโอกาสให้เพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจแบบ B2B คนอื่นก็ได้ 🙂

ช่องทางการติดต่อ

หากสนใจใช้บริการเอเจนซี่ผู้เชี่ยวชาญการตลาดดิจิทัล ติดต่อไพรมอลได้เลย ผ่านช่องทางต่อไปนี้

[Sponsorship Disclosure] บทความสัมภาษณ์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก Primal แต่การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นความรับผิดชอบของ Content Shifu และมาจากการสัมภาษณ์จริงทั้งสิ้น