ในทุกธุรกิจต่างก็ต้องการให้ลูกค้าซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตและอยู่รอดในตลาดที่มีการแข่งขันสูง อย่างไรก็ตาม หลายธุรกิจกำลังเผชิญกับปัญหาลูกค้าหยุดซื้อสินค้าหรือบริการ ที่เรียกว่า “Churn Rate”

Churn Rate คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อการทำธุรกิจ?

ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงความหมายและความสำคัญของ Churn Rate รวมถึงวิธีการคำนวณและกลยุทธ์ในการลด Churn Rate ที่ธุรกิจควรรู้กันค่ะ!

Churn Rate คืออะไร

Churn Rate (อัตราการยกเลิกการใช้บริการ) คือ การที่บริษัทสูญเสียลูกค้าหรือสมาชิกไป ยิ่ง Churn Rate สูง ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อกำไรและขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ 

การยกเลิกการใช้บริการไม่เพียงแต่หมายถึง การที่ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่งเท่านั้น แต่อาจหมายถึงการหยุดใช้บริการสินค้าประเภทนี้ไปเลยก็ได้ 

วิธีการคำนวณ Churn Rate

How to calcurate churn rate

ทุกธุรกิจย่อมต้องการให้ Churn Rate เท่ากับ 0 เพราะนั่นหมายถึงเราสามารถรักษาลูกค้าไว้ได้ทั้งหมด แต่ในโลกธุรกิจจริงๆ สิ่งนี้เป็นไปได้ยาก  แล้วอัตรา Churn Rate เท่าไรถึงจะเรียกว่าดี?

เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เจ้าของธุรกิจต้องวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับมาตรฐานในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือเทียบกับผลลัพธ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา วิธีนี้จะช่วยให้รู้ว่า การสูญเสียลูกค้า 5 คน ถือว่าดีหรือไม่ดีในสายธุรกิจของเรา 

Churn Rate มีความสำคัญต่อคนทำธุรกิจอย่างไร

1. ช่วยประเมินความพึงพอใจของลูกค้า

หาก Churn Rate สูง อาจหมายความว่าลูกค้าไม่พึงพอใจในสินค้าหรือบริการ หรือมีสิ่งกระตุ้นให้พวกเขาหยุดใช้สินค้าและบริการ เจ้าของธุรกิจจึงต้องรีบเข้าไปแก้ไข ไม่ว่าจะด้วยการทำแบบสอบถามเพื่อหา Insight และ ปรับปรุงเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

 2. ส่งผลต่อรายได้และการเติบโตของธุรกิจ

การสูญเสียลูกค้าส่งผลให้ธุรกิจสูญเสียรายได้และการเติบโตหยุดชะงัก เนื่องจากลูกค้าหยุดซื้อสินค้าและบริการ ดังนั้นแบรนด์จึงต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า เพราะการหาลูกค้าใหม่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า


Shifu แนะนำ

CRM คือ การบริการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ตั้งแต่วันที่แรกที่พวกเขาเข้ามาปฎิสัมพันธ์ กลายเป็นลูกค้า และกลายแฟนคลับตัวยงในธุรกิจคุณ อ่านบทความต่อได้ที่นี่

 

3.ช่วยประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์

การติดตามค่า Churn rate ช่วยให้ธุรกิจประเมินว่ากลยุทธ์การตลาดและการบริการลูกค้ามีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ A ใช้กลยุทธ์การตลาดผ่าน Social Media ทำให้ Churn rate สูง ธุรกิจอาจปรับกลยุทธ์โดยการใช้ Email Marketing ควบคู่กับ Social Media


Shifu แนะนำ

Email Marketing ช่องทางดีๆที่คนทำการตลาดออนไลน์ต้องรู้ ! อ่านบทความได้ที่นี่

 

4.เป็นตัวชี้วัดเพื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง

Churn rate เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ ช่วยให้ธุรกิจรู้ตำแหน่งของตนเองในแง่ของการรักษาลูกค้าและการดึงดูดลูกค้าใหม่

ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารและมี Churn rate อยู่ที่ 3% ต่อเดือน ในขณะที่คู่แข่งหลักในอุตสาหกรรมมี Churn rate อยู่ที่ 5% ต่อเดือน นั่นหมายความว่าธุรกิจของคุณมี Churn Rate ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม แสดงว่าคุณกำลังทำได้ดีในเรื่องการรักษาลูกค้า คุณอาจมีบริการที่ลูกค้าพึงพอใจและสามารถรักษาลูกค้าไว้ได้ดีกว่าคู่แข่ง

5.ช่วยในการวางแผนพัฒนาสินค้าและบริการ

การเข้าใจ Churn rate ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนพัฒนาสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และยังช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียลูกค้าในอนาคต ทำให้ธุรกิจสามารถรักษาฐานลูกค้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น

สาเหตุที่ทำให้ Churn rate สูง

สาเหตุทำให้ Churn Rate สูงอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เราขอยกมา 5 สาเหตุหลัก ๆ ดังนี้

1. สินค้าและบริการใช้งานยาก   

ลูกค้าอาจยกเลิกการใช้บริการ เพราะ ใช้งานสินค้ายากเกินไปหรือกระบวนการการใช้งานที่ออกแบบมาไม่ดี ทำให้ไม่สะดวกและไม่คุ้มค่ากับเวลา

2. ราคาและคุณภาพของสินค้า/บริการไม่เหมาะสมกัน

ลูกค้ารู้สึกว่าคุณภาพสินค้าไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป และไม่ตรงกับความคาดหวังในตอนแรก หากลูกค้าพบว่าสินค้าหรือบริการของคู่แข่งที่รู้สึกคุ้มกว่า ก็พร้อมจะย้ายไปทันที 

3.พัฒนาฟีเจอร์ไม่ตอบโจทย์ความต้องการ

ลูกค้ามีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทต้องพัฒนาฟีเจอร์ของสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ไม่เช่นนั้นอาจนำไปสู่การหยุดใช้บริการ เช่น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน

4. การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้า และไม่รับฟังความคิดเห็นของลูกค้า

เมื่อเกิดปัญหา และลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ หากกระบวนการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า จะทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจและอาจตัดสินใจหยุดใช้บริการได้

นอกจากนี้ หากธุรกิจไม่รับฟังความคิดเห็นของลูกค้าและไม่พัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการ อาจทำให้เกิดความเห็นในเชิงลบ และเลิกใช้บริการในที่สุด 

5. สินค้าและบริการไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

แม้ว่าสินค้าและบริการของคุณจะมีคุณภาพดี แต่ถ้าขายให้กับคนที่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก็อาจทำให้เกิดการยกเลิกการใช้งานได้ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจไม่ควรมองข้าม

การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี และมีความพึงพอใจสูงสุด

อัตราการหยุดใช้บริการ (Churn Rate) เทียบกับอัตราการรักษาลูกค้าเก่า(Retention Rate)

what is churn rate

ตัวอย่างเช่น บริษัทสตรีมมิ่งแห่งหนึ่ง เมื่อเริ่มปี 2024 มีจำนวนลูกค้า 1,000 คน ในระหว่างปีสามารถหาลูกค้าใหม่ได้ 100 คน และในรอบปี 2024 ลูกค้ายกเลิกการใช้บริการไป 100 คน จึงเหลือจำนวนลูกค้าในตอนสิ้นปี 1,000 คน

Retention rate (%) = [(จำนวนลูกค้าคงเหลือ – จำนวนลูกค้าใหม่ที่หาได้) ÷ จำนวนลูกค้าเก่าตั้งแต่แรกเริ่ม] x 100 

= [(1,000-100) ÷ 1,000] x 100 = 90%

Churn rate (%) = (จำนวนลูกค้าที่ยกเลิก ÷ จำนวนลูกค้าทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม) x 100

= (100 ÷ 1,000) x 100 = 10%

สรุปได้ว่า ธุรกิจมีอัตรารักษาลูกค้าไว้ได้ 90% และมีการอัตราการสูญเสียลูกค้าไปที่ 10% ถ้าเราคำนวณแบบนี้ในปีต่อ ๆ ไป เพื่อนำทั้งสองค่ามาเปรียบเทียบกัน ก็จะเห็นแนวโน้มการรักษาและการสูญเสียลูกค้า และวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้ถูกจุด เช่น ถ้า Churn rate สูงขึ้น สวนทางกับ Retention rate ที่ลดลงในปีหน้า แสดงว่าธุรกิจกำลังประสบปัญหา และต้องรีบเข้าไปแก้ไข 


Shifu แนะนำ

Customer Acquisition Cost คือ ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ หากลูกค้าใหม่ยกเลิกการใช้บริการก่อนที่คุณจะได้ทุนค่าใช้จ่ายในส่วนนี้คืน แสดงว่าค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่สูงเกินไปสำหรับบริษัทคุณ เป็นจุดสำคัญที่บริษัทต้องระมัดระวังและมั่นใจว่าลูกค้าที่หาได้มาต้องทำให้บริษัทเติบโตมากกว่าการหยุดใช้บริการ 

 

แนะนำ 6 กลยุทธ์ในการลด Churn rate

1.พัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ

หากสินค้าหรือบริการของคุณขาดคุณภาพ ย่อมไม่มีใครต้องการใช้งาน สิ่งสำคัญคือธุรกิจต้องฟังเสียงของลูกค้าและทำความเข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไร รวมถึงศึกษาเทรนด์ตลาดอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่จะพัฒนาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพออกมา สินค้าที่มีคุณภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาลูกค้า สร้างรายได้ที่มั่นคง และลดอัตราการสูญเสียลูกค้าได้

2.สำรวจความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ

การสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจถึงความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า รวมถึงระบุปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนเพื่อปรับปรุงข้อบกพร่อง นอกจากนี้การสำรวจยังช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า เพราะแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ใส่ใจและมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น

3.ใช้ข้อมูลเพื่อโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่มีคุณค่า

เมื่อธุรกิจมีข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือ จะสามารถเห็นประวัติการซื้อของลูกค้าแต่ละคนได้ ข้อมูลนี้ช่วยให้เราสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม (Personalize Marketing) เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าจะช่วยลด Churn rate ลงได้

4.สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

บางครั้งลูกค้าจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ อาจไม่ได้มุ่งหวังแค่เรื่องคุณภาพของสินค้าเพียงอย่างเดียว มันอาจรวมตั้งแต่การเห็นสินค้าและบริการ ค้นหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบคุณกับคู่แข่งอื่น ขั้นตอนในการซื้อ และบริการหลังการขาย เรียกรวมๆว่า Customer Journey ซึ่งธุรกิจต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีในทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจและเป็นลูกค้าประจำของธุรกิจในระยะยาว

5.แนะนำวิธีการใช้งานสินค้าและบริการ

การแนะนำวิธีการใช้งานสินค้าและบริการจะช่วยลดความสับสน และข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นและเต็มประสิทธิภาพ หากสินค้าหรือบริการซับซ้อนเกิน แต่ธุรกิจไม่ได้แนะนำวิธีการใช้งาน อาจทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี ส่งผลให้เกิดรีวิวเชิงลบและการหยุดใช้งาน 

6.ติดตามลูกค้าที่มีความเสี่ยงจะเลิกใช้งานสูง

การที่ธุรกิจติดตามความพึงพอใจของลูกค้าอยู่เสมอ จะสามารถระบุลูกค้าที่มีแนวโน้มจะเลิกใช้งานได้ และควรติดตามพวกเขาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาหรือเสนอสิ่งจูงใจให้อยู่ต่อ 

อาจสังเกตได้จากการใช้งานที่ลดลง การร้องเรียนหรือแจ้งปัญหาบ่อยครั้ง การลดระดับการเป็นสมาชิก และพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การซื้อสินค้าลดลงหรือมีการคืนสินค้า ธุรกิจต้องรีบจัดการกับปัญหาเหล่านี้ โดยการสอบถามลูกค้า เสนอโปรโมชั่นพิเศษ และใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อรักษาลูกค้าให้คงอยู่ต่อไป

สรุป

Churn rate เป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ ไม่มีธุรกิจไหนอยากสูญเสียลูกค้า สาเหตุของการสูญเสียลูกค้ามีหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการไม่ตรงกับความคาดหวัง ราคาไม่เหมาะสม หรือคู่แข่งมีข้อเสนอที่ดีกว่า 

การลด Churn rate จำเป็นต้องเริ่มจากการวิเคราะห์และเข้าใจสาเหตุที่ลูกค้าเลิกใช้บริการ แล้วจึงปรับปรุงเพื่อแก้ไขในจุดที่เป็นปัญหา เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ตาคุณแล้ว

ลองทำความเข้าใจกับ Churn rate และวิเคราะห์หาสาเหตุดูนะคะ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณรู้ตัวว่ากำลังจะสูญเสียพวกเขาไปหรือไม่ ถ้าวิเคราะห์ปัญหาและรีบปรับแก้ให้ตรงใจลูกค้า พวกเขาจะอยู่กับคุณและนึกถึงธุรกิจคุณเป็นคนแรก อ่านแล้วเป็นยังไง คอมเมนต์มาคุยกันได้นะคะ 🙂