ปีใหม่ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจของเอเชียอย่างเซี่ยงไฮ้ ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 วันที่อยู่ที่นั่นนั้นผมได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมาย หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างเป็นสิ่งที่ล้ำ และน่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่ผมคาดหวังไว้มาก วันนี้ผมก็เลยอยากเปลี่ยนบทบาทจากเดิมที่เขียนเล่าแต่เรื่องเกี่ยวกับการตลาด และเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ มาผสานความเป็น Lifestyle Blogger พาคุณไปชมความเจ๋งที่ผมได้ไปเห็นมาจากเมืองเซี่ยงไฮ้กันบ้าง 

ผมรับรองว่าเมื่อคุณอ่านบทความนี้จบคุณจะอึ้ง และทึ่งกับเจ๋งของประเทศจีน หรือไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณอีกด้วย

.. อ่านบทความนี้จบแล้ว มาบอกผมในคอมเมนต์ด้วยนะครับว่าผมพอจะเป็น Lifestyle Blogger ได้รึเปล่า ฮา

5 เรื่องราวที่เรียนรู้จากการตะลุยแดนมังกร

1. Cash comes second

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ตื่นตาตื่นในสำหรับผมมากที่สุดในทริปนี้

ร้านค้าในเซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่ที่ผมเห็น (ไม่ว่าจะเป็นร้านใหญ่ในห้าง หรือร้านเล็กๆ ข้างทาง) นั้นสามารถรับชำระเงินผ่านมือถือด้วย Wechat และ Alipay และจากที่ผมสังเกตดู พฤติกรรมของคนที่ซื้อของส่วนใหญ่ (สัก 95% ที่ผมเห็น) นั้นไม่จ่ายเงินสดกันแล้ว

 สิ่งที่ผมเซอร์ไพรส์มากๆ อย่างนึงก็คือตอนที่ผมเข้าคิวซื้อของกิน มีพนักงานมารับออเดอร์ก่อน พอเขาเห็นผมถือเงินสด เขาก็ถามผมว่านี่จะจ่ายด้วยเงินเหรอ?” แล้วก็มองผมแบบงงๆ หน่อย

มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่าการจ่ายเงินด้วยเงินสดนั้นไม่ใช่วิธีมาตรฐานในการจ่ายเงินของที่นั่นอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการจ่ายเงินด้วยมือถือต่างหาก

ธนาคารต่างๆ ในไทยอย่างเช่น KBank และ SCB เองก็ตื่นตัวกับเรื่องนี้มากๆ เช่นกัน ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาต้องรีบถีบตัวเองให้เร็ว ไม่อย่างนั้นอาจจะเสร็จผู้เล่นจากในอุตสาหกรรมอื่นอย่างที่ธนาคารในจีนพ่ายให้กับ Wechat (แอป Chat) และ Alipay (จาก Alibaba ที่เป็น eCommerce) บนโลกดิจิทัลได้

2. Ads on subways

สิ่งที่ผมเห็นในทริปนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหลายๆ คน แต่สำหรับผม มันเป็นเรื่องใหม่ เพราะฉะนั้นก็เลยอยากจะเอามาแชร์ให้ได้อ่านกัน

โดยปกติแล้ว หนึ่งในวีธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดในเซี่ยงไฮ้ก็คือการนั่งรถไฟใต้ดิน ซึ่งในรถไฟใต้ดินนั้นเองผมได้เห็นวิธีการแสดงโฆษณาที่แสนครีเอทีฟ คือนอกจากที่พวกเขาจะแปะป้ายโฆษณา และฉายหน้าจอมอนิเตอร์ภายในรถแล้ว พวกเขายังใช้พื้นที่ของหน้าต่างระหว่างที่รถวิ่งให้เป็นประโยชน์อีกด้วย

หลักการก็คือเมื่อรถไฟใต้ดินวิ่งลงไปในอุโมงค์ หน้าตาก็จะมืด ซึ่งพวกเขาจะยิงโฆษณาไปยังกำแพง ให้คนที่อยู่ในรถไฟใต้ดินเห็นโฆษณาที่อยู่ข้างนอก ระหว่างรถวิ่ง

พอกลับมาไทย ผมก็ได้ลองไปค้น Google และก็พบว่าเทคโนโลยี/หลักการนั้นเรียกว่า Zoetrope ซึ่งมันถูกใช้มาหลายสิบปีแล้วในหลายๆ เมืองของอเมริกา (ผมไม่เคยไปอเมริกา ก็เลยไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย)

3. Sharing is thriving

 ในประเทศไทย เราก็จะเห็น Startup ที่เน้นเรื่องการทำ Sharing Economy อยู่มากมายเช่น Uber (แชร์รถเอารถ และเวลาว่างที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์), Takemetour (แชร์ประสบการณ์เอาประสบการณ์ และเวลาว่างที่มีพานักท่องเที่ยวไปเที่ยว) และธุรกิจอีกมากมายหลายอย่าง

ในจีนเอง Sharing Economy ก็เป็นสิ่งที่บูมไม่แพ้กัน โดยที่พวกเขาทำสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (โดยเฉพาะอย่างในประเทศไทย) ให้เกิดขึ้นได้ โดยสิ่งที่เขาแชร์กันคือจักรยาน Ofo และ Mobike ในรูปแบบผลัดกันขี่และถึงที่หมายเมื่อไหร่ก็จอดทิ้งไว้

ทุกหัวมุมถนนทั่วเมืองเซี่ยงไฮ้จะมีจักรยานสีเหลือง และส้มจอดเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด ซึ่งถ้าใครที่ต้องการจะขี่จักรยาน ก็แค่ใช้แอปพลิเคชั่น (ทีผูกกับบัตรเครดิต) ในการ Scan บนตัวจักรยานเพื่อทำการเริ่มขี่ โดยที่ราคานั้นก็ถือว่าถูกมากๆ อยู่ที่ 1 หยวน (ประมาณ 5 บาท) ต่อชั่วโมงเท่านั้นเอง โดยที่คุณจะหยิบจักรยานจากที่ไหนในเมืองก็ได้ และเมื่อคุณถึงที่หมายแล้ว คุณจะทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้เช่นกัน

ในความเห็นของผม ไอเดียสมบัติ ผลัดกันชมแบบนี้น่าจะเป็นไอเดียที่ไปได้ดีอีกพักใหญ่ๆ เลยล่ะ

4. Be differentiate

ถ้านึกถึงร้านอาหารในเมืองจีน คุณคงจะนึกถึงคนเสิร์ฟที่ตะโกนเสียงดัง และการโยนจานอาหารลงบนโต๊ะของคุณ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพนักงานที่ไม่ค่อยจะมีจิตบริการสักเท่าไหร่นัก

แต่ร้าน Hotpot Haidilao ทำให้ผมปรับมุมมองใหม่ เพราะความประทับใจนั้นเริ่มตั้งแต่ตอนก่อนเดินเข้าร้าน โดยที่พอไปถึง พนักงานจะรีบวิ่งออกมาต้อนรับ และระหว่างรอคิวนั้นทางร้านเองก็มีทั้งทีวีในห้องครัวให้ดู เกมกระดานเล่น โซนทำเล็บ และขนมให้กินตอนรอ

พอถึงตอนกินก็จะเอาผ้าคลุมมาคลุมเสื้อให้กันเหม็น ใครที่ใส่แว่นก็จะมีผ้าเช็ดแว่นมาให้ (เวลากิน Hotpot จะมีฝ้า) หรือถ้าคนวางมือถือไว้บนโต๊ะ ก็จะเอาซองใส่กันเปื้อนมาให้ และอื่นๆ อีกหลายอย่าง

จริงๆ ตัวอาหารนั้นก็อร่อย (ในระดับพื้นฐาน) แต่สิ่งที่ทำให้ร้านนี้เต็มทุกวันก็คือบริการที่น่าประทับใจ และการเล่นกับทุกๆ Touchpoint ของคนตั้งแต่ก่อนที่เดินเข้าร้านจนกระทั่งเดินออกจากร้าน

ถ้าคุณได้มีโอกาสไปเซี่ยงไฮ้ ผมแนะนำให้คุณลองไปกินดูครับ : )

5. Beyond products & services

ช่วงปลายปีที่แล้ว Starbucks ได้มาเปิดสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก (As of 2017) ในเซี่ยงไฮ้ชื่อว่า Starbucks Reserve Roastery ผมเองก็ได้มีโอกาสแว่บไปดูว่ามันจะต่างกับ Starbucks สาขาปกติยังไง 

ภายในร้านมีของเจ๋งๆ มากมายเช่นเทคโนโลยี AR (ที่เอาไว้ส่องดูที่มาที่ไปของกาแฟ หรือสิ่งต่างๆ ในร้าน) บาร์จิบกาแฟ หรือการคั่วกาแฟสดๆ ภายในร้าน

หลังจากที่ได้ลองไปสัมผัสดูจริงๆ  ผมรู้สึกว่า Starbucks Reserve Roastery ก้าวข้ามผ่านจุดของการขายกาแฟ (Product) และการเป็นร้านขายกาแฟ (Service) ไปเป็นร้านที่ส่งมอบประสบการณ์ (Experience) ให้กับผู้ที่หลงใหลในการดื่มกาแฟไปแล้ว

ไม่แน่ว่าในอนาคต Starbucks อาจจะสร้าง Coffeeland มาแข่งกับ Disneyland ก็ได้ ฮา

สรุป

การไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่เปิดหูเปิดตาผมมากที่สุดครั้งนึง มีแนวคิดเจ๋งๆ หลายๆ อันที่ผมเรียนรู้ และแน่นอนว่าจะเอามาปรับใช้กับธุรกิจที่ผมทำอยู่

ของอย่างนี้สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น และสิบตาเห็น ไม่เท่าปากชิมผมแนะนำให้คุณลองไปด้วยตัวเองครับ : )

ตาคุณแล้ว

คุณเคยไปเซี่ยงไฮ้รึเปล่า? ถ้าเคย คุณมีอะไรดีๆ เจ๋งๆ มาแชร์ให้กับผม และผู้อ่านคนอื่นๆ ได้รู้บ้างไหม? มาคุยกันต่อได้ในคอมเมนต์เลยครับ!