Web3 หรือ Web 3.0 เป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ยอดฮิตที่กำลังเริ่มเป็นกระแสขึ้นมาต่อจากคำอย่าง NFTs, Metaverse & Crypto

นักธุรกิจและนักการตลาดทั้งในและต่างประเทศต่างตื่นเต้นและเฝ้ารอสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในโลกของ Web3 ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และผมเชื่อว่าคุณเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน (ไม่อย่างนั้นคุณก็คงไม่ได้คลิกเข้ามาอ่านบทความนี้)

ซึ่งก่อนที่จะ Web 3.0 โลกของเราผ่านยุคที่เรียกว่า Web 1.0 และ Web 2.0 มาแล้ว ทั้ง 3 ยุคนี้มันต่างกันยังไง? Web 3.0 คืออะไร? มันจะส่งผลต่อการทำการตลาดในโลกอนาคตอย่างไร? และนักการตลาดอย่างเราๆ ต้องเตรียมตัวอย่างไร? ในบทความนี้ผมจะมาทยอยเล่าให้อ่าน

ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลยครับ

ก่อนเขียนถึง Web3 ขอเขียนถึง Web 1.0 และ Web 2.0 ก่อน

ผมคิดว่าคำอธิบายจากเว็บไซต์ Geeksforgeeks อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นผมขอเอาจากที่เขาเขียนอธิบายมาสรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆ ให้คุณได้อ่านนะครับ

Web 1.0

รูปจาก Techradar

Web 1.0 เป็นยุคแรกสุดของโลกแห่งเว็บที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยคุณ Tim Berners-Lee ในปี 1989 (30 กว่าปีที่แล้ว)

ซึ่งในยุคนั้นโลกของเว็บยังเป็นโลกที่เรียกว่า “Read Only” คือคนที่เข้ามาดูเว็บนั้นสามารถอ่านหรือดูข้อมูลได้อย่างเดียว ซึ่งคอนเทนต์ต่างๆ ในโลก Web 1.0 นั้นยังเป็นคอนเทนต์ประเภท Static หรืออธิบายง่ายๆ คือคนยังไม่สามารถมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้

Web 2.0

รูปจาก Futureexploration

ยุคถัดมาคือยุค Web 2.0 ที่เริ่มต้นในช่วงทศวรรษที่ 20 โดยที่มีแพลตฟอร์ม Social Media ต่างๆ เช่น Facebook, Twitter, Hi5 (ทันกันไหมนะ!) และแพลตฟอร์มแบบ UGC (User Generated Content) เช่น Wikipedia เป็นแกนนำ

ในยุคนี้ โลกของเว็บพัฒนาจากการที่ “Read Only” กลายเป็น “Read & Write” ว่าง่ายๆ คือนอกจากเข้ามาอ่าน เข้ามาดูข้อมูลได้ คนยังสามารถปฏิสัมพันธ์กันได้ด้วย

ผมเชื่อว่าผู้อ่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้เกือบจะทุกคน คงจะเห็นภาพและเข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะทั้งคุณและผมเองนั้นก็ผ่านช่วงที่ยุค Web 2.0 รุ่งเรืองถึงขีดสุดกันมาแล้ว

Web3 คืออะไร?

เมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา สิ่งที่เคยรุ่งเรืองก็จะโรยราไปตามกาลเวลา ซึ่งสิ่งใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วก็คือ Web3 หรือ Web 3.0 นี่เอง

Web3 เกิดขึ้นมาเมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ถูกพัฒนาขึ้นมา รวมไปถึงแนวคิดการกระจายศูนย์ (Decentralize) เริ่มเป็นที่นิยมในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

ในยุคนี้ คุณ Tim Berners-Lee ได้บอกว่า โลกของเว็บพัฒนาจากการที่ “Read & Write” กลายเป็น “Read, Write & Execute” หรืออธิบายง่ายๆ คือนอกจากการอ่านข้อมูล การเขียน/ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันแล้ว ยุคนี้จะเป็นยุคที่ผู้ใช้เว็บมีพลังและอำนาจในการสร้างและใช้งานเครื่องมือและซอฟต์แวร์ต่างๆ แทนที่จะเป็นยุคที่พึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ๆ เหมือนในยุค Web 2.0

ซึ่งคุณน่าจะเคยได้ยินคำศัพท์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blockchain, Cryptocurrency, DeFi, NFTs, Metaverse และคำอื่นๆ ในหมวดหมู่ที่ใกล้เคียง ล้วนเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ร้อยเรียงและเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล Web3 ทั้งสิ้น

ฟีเจอร์หลักๆ ของ Web3 มีอะไรบ้าง?

1. Semantic Web

Web3 จะทำให้การเชื่อมโยงและการตีความหมายของเรื่องต่างๆ ถูกต้องตามบริบทมากขึ้น เช่นเมื่อคุณพิมพ์คำว่า “ตากลม” ระบบจะเข้าใจว่าคุณกำลังสนใจค้นหาคนที่มีตา-กลมสวยงาม หรือคุณกำลังค้นหาที่ไปนั่งตาก-ลมกันแน่

2. AI

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่จะทำให้ Machine เรียนรู้วิธีการคิดเรื่องต่างๆ ได้เหมือนมนุษย์ (หรือบางเรื่องทำได้ดีกว่ามนุษย์) และแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของคนจริงๆ

เช่นถ้าผมค้นหาคำว่า Flight to UK ใน Google ตัว Google เองจะคิดเผื่อมาให้ผมเลยว่าเมืองที่คนมักจะไปมีเมืองไหนบ้าง ใช้เวลากี่ชั่วโมงจาก Location ที่ผมอยู่ (ซึ่งก็คือกรุงเทพ) และราคาเริ่มต้นที่เท่าไหร่

3. 3D Graphics

ตัวอย่าง The Mona Lisa in virtual reality

การยกระดับการแสดงผลของกราฟิกให้เป็น 3D เช่นการสร้างเกม การทำไกด์สำหรับการเดินทัวร์พิพิธภัณฑ์ การชอปปิ้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่บนโลก Metaverse

4. Connectivity

ข้อมูลต่างๆ จะเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ User Experience ดีขึ้น

5. Ubiquity

คอนเทนต์ต่างๆ จะสามารถเข้าถึงได้โดยทุกคน ทุกที่ ทุก Device และทุกเวลา ตราบเท่าที่คอนเทนต์เหล่านั้นอยู่บนเว็บ

ประโยชน์ในภาพรวมของ Web3 มีอะไรบ้าง?

ตามทฤษฏีแล้ว โลกในอุดมคติของ Web3 จะทำให้คนเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้อมูลต่างๆ กระจายศูนย์ ไม่เป็นของคนใดคนหนึ่ง เจ้าใดเจ้าหนึ่ง และ User แต่ละคนเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเอง

สาเหตุที่ผมเขียนว่า “ตามทฤษฎีแล้ว” เพราะว่ามันยังเป็นแค่ทฤษฎีอยู่ สิ่งต่างๆ ที่คาดการณ์ไว้มันยังไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ ในอนาคตรึเปล่า

อย่างที่ผ่านมาก็มีคอมเมนต์ที่ค่อนข้างเป็นประเด็นจาก Jack Dorsey ที่เป็นอดีต CEO & Co-founder ของ Twitter และปัจจุบันเป็น CEO ของ Block Inc. (บริษัทที่ทำเกี่ยวกับเรื่องระบบชำระเงิน) ก็ได้ออกมาทวีตให้ความเห็นว่า…

หรืออธิบายง่ายๆ คือเขาบอกว่า ที่บอกว่า Web3 มันกระจายศูนย์นั้นไม่มีอยู่จริงหรอก สุดท้ายเหล่านักลงทุนและพาร์ตเนอร์บางส่วนต่างหากที่เป็นเจ้าของ จริงๆ แล้ว Web3 ก็เป็นระบบที่รวมศูนย์แต่ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่แค่นั้นแหละ

ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าโลกในอุดมคติของ Web3 นั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ รึเปล่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางมีมากมายหลายอย่างครับ

เพราะที่ไหนมีผู้คน ที่นั่นมีโอกาสในทางธุรกิจ ถ้าคนสนใจและเข้าสู่โลกของ Web3 มากขึ้น โอกาสอีกหลายอย่างจะตามมา ไม่ว่าจะเป็น…

เกิดการทำธุรกิจรูปแบบใหม่

ธุรกิจอะไรที่ไม่เคยมี (และเราไม่คิดฝันว่าจะมี) มาก่อนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว จะเกิดขึ้นจริงได้ในโลกแห่ง Web3

ตัวอย่างเช่นการที่ Binance (Crypto Exchange ชั้นนำของโลก) จับมือกับ YG Entertainment (ต้นสังกัดของ BLACKPINK) จับมือกันทำโปรเจกต์ NFT (NFT ย่อมาจาก Non-fungible Tokens หรือสินทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัล)

หรือ Browser อย่าง Brave ที่ไม่ได้หารายได้จากการขายข้อมูลเหมือนกับ Browser อื่นๆ เช่น Chrome แต่เป็นการขาย Brave Ads (Brave จะถามเราว่าอนุญาตให้เขาแสดง Brave Ads ไหม และอยากเห็นความถี่เท่าไหร่ ซึ่งถ้าเราเลือกดู Ads ที่เขาให้มา เราจะได้ Reward กลับมาใน Brave Wallet รูปแบบของ BAT (Basic Attention Token) ซึ่งเป็นสกุลเงิน Crypto รูปแบบนึงที่เราจะเอาไปซื้อนู่นนี่นั่นต่อได้)

เกิดการทำการตลาดรูปแบบใหม่

เป็นเรื่องปกติมากที่แบรนด์และนักการตลาดต่างสรรหาวิธีการทำการตลาดรูปแบบใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคหรือผู้ติดตามได้มากขึ้น

ตัวอย่างเช่นการที่ McDonald’s ได้ทำการปล่อย NFT ตัวแรกของพวกเขาเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบอายุ 40 ปีของ McRib (อันนี้เป็นของต่างประเทศ ของประเทศไทยไม่มีขาย แอบอยากกินเบาๆ)

หรือการที่แบรนด์รถยนต์สัญชาติเกาหลีชื่อดังอย่าง Hyundai ได้ทำการ Launch สินค้าของตัวเองบน Roblox ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเกมบนโลกเสมือนที่ให้ผู้เล่นสามารถสร้างเกมเองได้

อยากจะพาตัวเองหรือธุรกิจของตัวเองเข้าสู่โลก Web3 ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?

เตรียมความรู้

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจจะรู้สึกว่าโลกแห่ง Web3 เป็นโลกใหม่ที่ดูไม่คุ้นเคย

จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตอนนี้มันยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของยุคนี้เท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งที่จะทำให้คุณเข้าใจและมองเห็นโอกาสบนโลกใหม่นี้ก็คือความรู้ครับ

คำแนะนำของผมก็คือให้คุณลองเริ่มต้นศึกษาหาความรู้เรื่องนี้ อาจจะจากการอ่านบทความ หรือทดลองลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบใหม่ๆ ก็จะเป็นตัวช่วยเร่งทำให้การเรียนรู้ของคุณรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ

*การลงทุนมีความเสี่ยง คุณควรจะต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะลงทุน

อ่านเพิ่มเติม: Metaverse คืออะไร? ส่งผลกระทบอย่างไรกับโลกการตลาด?

เตรียมโครงสร้างพื้นฐาน

โครงสร้างที่คุณใช้ (ทั้ง Hardware และ Software) ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในโลกยุคเก่าอยู่รึเปล่า?

เช่นคุณยังใช้ Spreadsheet ในการเก็บข้อมูลของลูกค้าอยู่ แทนที่จะมีเทคโนโลยีอย่าง CRM (Customer Relationship Management) หรือ CDP (Customer Data Platform) มาช่วยรึเปล่า?

หรือปัจจุบันเซอร์ฟเวอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลของคุณเป็นแบบ On Cloud แล้วหรือยังเป็น On-premise (มีเซอร์ฟเวอร์เป็นเครื่องๆ) อยู่? (ขอโน้ตไว้เล็กๆ ว่าไม่ใช่ทุกธุรกิจที่เหมาะกับการเก็บข้อมูลบน Cloud แต่เหมาะกับ On-premise มากกว่าโดยเฉพาะธุรกิจที่มี Policy หรือ Compliance ที่เกี่ยวข้องกับ Security สูงเช่นธุรกิจการเงิน)

การได้ลองเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้คุณเข้าถึงโลกของอนาคต และเผชิญกับข้อจำกัดน้อยกว่าอยู่กับของที่ไม่ทันสมัยแล้ว

เตรียม Business Model ให้รองรับ

การผลิตสินค้าออกมาแล้ว ทำการขาย อาจจะเป็นอันที่คนทุกคนคุ้นเคยกันดี

ถัดมาหน่อยในยุค Web 2.0 การขายข้อมูลก็เป็นวิธีการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น (ตัวอย่างไม่ต้องหาจากไหนไกล พ่อทุกสถาบันอย่าง Facebook และ Google ก็มี Business Model ด้วยการขายข้อมูลอยู่)

ในยุคของ Web3 นั้นการขายสินค้าหรือบริการแบบโต้งๆ อาจจะเป็นท่านึง การขายข้อมูลจะทำได้ยากยิ่งขึ้นเนื่องจากกฎหมายความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ผมเองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ว่า Business Model ที่จะไปได้ดีกับ Web3 จะเป็นอะไร แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่สามารถ Levearge Community และการที่ข้อมูลไม่รวมศูนย์ (Decentralize) ครับ

ถ้าคุณมีไอเดียในเรื่องนี้ หรือคิดออก ก็มาแชร์ให้ผมกับผู้อ่านคนอื่นๆ ได้ในคอมเมนต์นะครับ

สรุป

และนี่คือโลกของ Web3 และความเกี่ยวข้องที่มีต่อการทำธุรกิจและการทำการตลาด ที่ผมพาคุณมาทัวร์ในวันนี้นะครับ

หวังว่าสิ่งที่ผมเขียนแชร์ในบทความนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพ Web3 มากยิ่งขึ้นนะครับ

ตาคุณแล้ว

และย้ำอีกครั้งว่า ถ้าคุณมีความรู้หรือข้อมูลอะไรดีๆ เกี่ยวกับ Web3 ที่อยากเอามาแชร์หรือเอามาแลกเปลี่ยนกัน มาคุยกันต่อได้ในคอมเมนต์เลยนะครับ 🙂