เชื่อว่ามีนักการตลาดจำนวนไม่น้อยที่หาไอเดียการตลาดใหม่ๆ อยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาต่างต้องทำการตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์แนวโน้มการตลาดในอนาคตมากที่สุด แล้วในอนาคตอันใกล้นี้มีไอเดียการตลาดอะไรบ้าง แบรนด์ควรโฟกัสไปที่อะไร ตามไปดูกันเลย

1. Data Collection

ไอเดียการตลาดล่าสุดมีการคาดว่าจะธุรกิจต่างๆ จะกระตือรือร้นในการรวบรวมข้อมูลมากขึ้น เพื่อให้การทำธุรกิจมีความคล่องตัว ลดการทำงานซ้ำซ้อน และทำให้ลูกค้าพึงพอใจ โดยเฉพาะระบบ CRM ที่ช่วยรวบรวมข้อมูลทุกอย่างไว้ในที่เดียว

ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์ ความชอบ หรือการปฏิสัมพันธ์ในอดีตระหว่างคุณกับลูกค้า หากมีข้อมูลเหล่านี้พร้อม แน่นอนว่าทีมการตลาดจะทำงานได้ง่ายและมีแนวโน้มส่งสารไปยังลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น

2. Google Verified Listings for Local SEO

เชื่อว่าหลายคนเคยใส่คำว่า “ใกล้ฉัน” ต่อท้ายเวลาที่ต้องการหาร้านค้าหรือบริการที่ใกล้ตัวเองที่สุด ในมุมของเจ้าของธุรกิจคงเสียดายน่าดูหากเขาค้นหาแล้วไม่เจอร้านเรา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงควรอัปเดตข้อมูลธุรกิจใน Google My Business เพราะผู้คนเหล่านี้มีโอกาสเป็นลูกค้าของเรานั่นเอง

หากสินค้าและบริการของเราดีจริง ยังมีโอกาสได้ดาวและรีวิวด้วย สิ่งนี้แหละที่จะทำให้ลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ แถมไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว

เพราะฉะนั้น อย่าลืมอัปเดตและยืนยันข้อมูลธุรกิจให้เป็นปัจจุบัน นอกจากจะทำให้น่าเชื่อถือกว่าคู่แข่งที่ไม่ได้ยืนยันข้อมูลแล้ว มันยังช่วยป้องกันคนที่อ้างตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจของเราอีกด้วย ลองนำไอเดียธุรกิจนี้ไปใช้ดู อาจพลิกโฉมแบรนด์เราก็เป็นได้

3. Voice Search

ก่อนหน้านี้เรามักจะเห็นคนพูดถึง Voice Search กันอย่างหนาหู แต่แบรนด์ที่รองรับฟีเจอร์นี้ยังไม่ค่อยหนาตาสักเท่าไร ซึ่งเทรนด์การตลาด 2023 ก็ยังบอกให้แบรนด์โฟกัสไปที่ Voice Search รวมถึงตั้งชื่อให้เป็นภาษาพูดมากขึ้น

เช่น ปกติเราเสิร์ชว่า “เมนูคาเฟ่ A” อาจจะปรับเป็นภาษาพูด “คาเฟ่ A มีเมนูอะไรบ้าง” หรือ “ร้านอาหารริมหาดบางแสน” เป็น “ร้านอาหารริมหาดบางแสนที่อร่อยที่สุดอยู่ไหน” เป็นต้น จะเห็นว่าภาษาพูดมีความเป็นประโยคมากกว่า (เวลาตั้งชื่อให้นึกถึงตัวเองเวลาถามหาอะไรสักอย่าง เราจะถามว่าอะไร แล้วลองตั้งชื่อแบบนั้น) และนี่คือไอเดียการตลาดที่คุณสามารถใช้ได้ตั้งแต่ตอนนี้

4. Visual Search

อีกหนึ่งไอเดียการตลาดที่แบรนด์ควรโฟกัส คือ การทำ Visual Content เพราะเนื้อหาที่เป็นรูปภาพจะมีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากทำให้ผู้ใช้ค้นเจอสิ่งที่ใช่ได้ง่าย

หากจำไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไร ก็แค่อัปโหลดหรือถ่ายรูปแล้วกดค้นหาใน Google Lens หรือ Pinterest Lens ซึ่งมันง่ายกว่าการพิมพ์มากๆ

ดังนั้น หน้าที่ของแบรนด์จึงเป็นการใส่ใจในการสร้าง Visual Content เพื่อดึงดูดสายตาผู้คนมากขึ้น และให้รูปภาพของเราโชว์ขึ้นมาหลังจากที่คนค้นหาด้วยรูปภาพ

โดยแบรนด์จำเป็นต้องใช้รูปภาพที่คมชัด, เปลี่ยนชื่อไฟล์เพื่อบอกว่ารูปนั้นคืออะไรก่อนอัปโหลดลงเว็บไซต์, ใส่ Alt text ด้วยคีย์เวิร์ดที่คนนิยมค้นหา หรือใส่ Title Tag และคำอธิบายภาพ (Captions) เพื่อให้อัลกอริทึมเรียนรู้พร้อมกับดูจุดข้อมูลของภาพไปพร้อมกัน

5. Online Reviews

อีกหนึ่งไอเดียการตลาดที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ Online Reviews เพราะสิ่งนี้สามารถพลิกโฉมธุรกิจของคุณได้เลย ทั้งยังช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ หากสามารถทำให้ลูกค้าติดใจก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะกลับมาซื้อสินค้าและบริการอีกครั้ง

ในทางตรงกันข้าม หากแบรนด์ได้รับรีวิวที่ไม่ดีก็อาจทำให้เสื่อมเสียจนไม่มีลูกค้าเช่นกัน ดังนั้น ควรพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์ และช่องทางการขายออนไลน์อื่น ๆ ให้พวกเขาประทับใจจนอยากบอกต่อ โดยเฉพาะ Google Customer Review ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือที่สุด มองเห็นได้ชัดที่สุด

6. Email Marketing is the King!

Email Marketing ขึ้นชื่อว่าเป็นช่องทางการตลาดที่ดีที่สุดในปัจจุบัน โดย 89% ของนักการตลาดจะใช้อีเมลเป็นช่องทางเพื่อสร้างโอกาสในการขาย ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้น คือ ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2023 ด้วย

โดยเฉพาะการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของธุรกิจขนาดเล็ก หากนำไอเดียการตลาด Email Marketing ไปใช้ อาจช่วยสร้างกำไรให้กับแบรนด์ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ได้ 

7. Real-Time Messaging Platforms

ผู้บริโภคต้องการอะไรที่รวดเร็วกว่าแต่ก่อน ดังนั้น แพลตฟอร์มที่ส่งข้อความได้แบบเรียลไทม์จึงเป็นไอเดียการตลาดที่ดีมากๆ ยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่าไร เรายิ่งใช้ประโยชน์จากข้อมูลของลูกค้าได้มากขึ้นเท่านั้น และมันอาจกลายเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่จัดเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งทำให้เราเข้าใจลูกค้าของตัวเองมากขึ้นอีกด้วย

8. Google Analytics 4

ในอีกไม่ช้าเราจะสามารถวิเคราะห์ลูกค้าได้ตลอด Customer Journey ด้วย Google Analytics 4 ซึ่งเราสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าคนเดียวกันได้ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ไม่ต้องแยกกันเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งยังดูข้อมูลได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องเสียเวลาจัดระเบียบข้อมูล ทำให้เราใช้ข้อมูลต่อยอดธุรกิจได้ทันที

ในขณะเดียวกัน Google Analytics 4 ก็คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งผู้ใช้จะกดยินยอมหรือไม่ยินยอม Ads Cookies และ Analytics Cookies ก็ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากกดไม่ยินยอมแบรนด์จะเก็บข้อมูลของผู้ใช้นั้น ๆ ไม่ได้เลย แต่ Google Analytics 4 จะไม่เก็บแค่ข้อมูลส่วนตัว แต่ยังสามารถเก็บข้อมูลออกมาในรูปแบบ Aggregate Level ได้โดยไม่ต้องระบุตัวตนของผู้ใช้นั่นเอง

9. Multilingual Content

eCommerce Fastlane ได้กล่าวถึงไอเดียการตลาดรูปแบบใหม่ว่า เราควรจะเริ่มทำคอนเทนต์มากกว่า 2 ภาษาเพื่อให้เข้าถึงผู้คนบนโลกมากขึ้น เพราะลำพังแค่เนื้อหาภาษาอังกฤษก็ไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาเช่นกัน และการใช้เครื่องมือแปลภาษาทั่วไปก็อาจแปลผิดหรือทำให้เข้าใจเนื้อหาผิดด้วย

หากเป็นไปได้ ลองนำไอเดียการสร้างเนื้อหาหลากหลายภาษามาใช้ดู ซึ่งเราอาจใช้ Martech ด้านการแปลภาษาที่เจ๋ง ๆ เข้ามาช่วย อย่างเช่น MTPE (Machine Translation Post-Editing) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการแปล และยังมีบรรณาธิการที่เป็นมนุษย์คอยพิสูจน์อักษร ทำให้เนื้อที่อ่านเป็นธรรมชาติมากขึ้น

10. Influencer Marketing Boom!

นับต่อแต่นี้ไป Influencer Marketing จะบูมขึ้นเรื่อยๆ และมีการพิสูจน์แล้วว่าจะยังไม่หายไปในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ส่วนใหญ่จะทำงานผ่านช่องทาง TikTok, Instagram และ YouTube ซึ่งแบรนด์ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในสินค้าและบริการนั้น ๆ รวมถึงมีกลุ่มผู้ติดตามตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา และไว้ใจได้ว่าเขาจะทำงานให้เราอย่างเต็มที่

ที่สำคัญ คือ ไม่จำเป็นต้องเลือกคนโด่งดังหรือมีผู้ติดตามเยอะๆ เสมอไป แต่ควรดูว่าเขาโต้ตอบกับผู้ติดตามอย่างไร เพราะถึงแม้ผู้ติดตามจะน้อยกว่า แต่เข้าถึงผู้คนได้มากกว่า แสดงว่า Influencer Marketing นี้มีประสิทธิภาพ และนี่คือไอเดียการตลาดที่แบรนด์ส่วนใหญ่กำลังหันมาใช้ ซึ่งเราไม่ควรพลาดเด็ดขาด!

สรุป

แม้ไอเดียการตลาดจะมีบางอันที่เหมือนกับปีที่แล้วๆ มา แต่นั่นคือการเน้นย้ำว่ามันคือสิ่งที่แบรนด์ควรโฟกัสอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น Voice Search, Visual Search, Email Marketing และ Influencer Marketing หรือแม้แต่การอัปเดตข้อมูลธุรกิจบน Google My Business ที่เป็นเรื่องพื้นฐานก็ตาม

ส่วนเรื่อง Data Collection, Google Analytics 4 และ Multilingual Content ที่เป็นเรื่องใหม่ก็เป็นสิ่งที่แบรนด์ไม่ควรมองว่าเอาไว้ทีหลังก็ได้ เพราะความชะล่าใจนี้อาจทำให้เราตามคู่แข่งไม่ทันและทำการตลาดไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรนั่นเอง