ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมีจุดแข็งที่ไม่ซ้ำใคร และไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ บางครั้งการเข้าใจแค่ภาพกว้างของธุรกิจอาจไม่พอ แต่ต้องวิเคราะห์เพื่อสร้างจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ถึงจะทำให้ธุรกิจได้เปรียบในการแข่งขันบนตลาดยุคนี้
วันนี้เราจึงจะพามารู้จักกับ ‘VRIO Framework’ เครื่องมือที่จะช่วยให้เราเข้าใจ และมองเห็นว่าธุรกิจมีข้อได้เปรียบ หรือเอกลักษณ์อะไรบ้างที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เพื่อช่วยในการวางแผน และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามจุดแข็งของธุรกิจเรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
VRIO Framework คืออะไร
VRIO Analysis Framework คือ เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ที่ถูกพัฒนาโดย Jay B. Barney ศาสตราจารย์ด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์ชาวอเมริกัน สำหรับให้องค์กรหาจุดแข็งและข้อได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว เพื่อนำไปวางกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิเคราะห์จากทรัพยากรภายในองค์กรออกมาเป็นองค์ประกอบ 4 ข้อ ได้แก่ คุณค่า (Value) ความหายาก (Rarity) เลียนแบบไม่ได้ (Inimitability) และการจัดการองค์กร (Organization)
Shifu แนะนำ
PESTEL Framework คือ เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมขององค์กร มี 6 ปัจจัย ได้แก่ การเมืองและสังคม (Political) เศรษฐกิจ (Economic) สังคมและวัฒนธรรม (Socio-Cultural) เทคโนโลยี (Technological) สิ่งแวดล้อม (Environmental) กฎหมาย (Legal) เมื่อองค์กรสามารถระบุปัจจัยได้จะทำให้สามารถกำหนดแผนการล่วงหน้าและแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา ซึ่งสามาถใช้ควบคู่ไปกับ VRIO ที่วิเคราะห์จากปัจจัยภายในองค์กรได้
Value (คุณค่า)
ทรัพยากรที่มีอยู่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าหรือไม่ และสร้างขีดความสามารถให้กับธุรกิจได้แค่ไหน เช่น ในธุรกิจ Software House ทักษะและประสบการณ์ของคนในองค์กร เป็นคุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้า และทำให้ธุรกิจได้เปรียบทางการแข่งขัน เมื่อหาคุณค่าเจอแล้ว เราจะลงลึกกันต่อที่ ความหายากของทรัพยากร (Rarity)
Rarity (ความหายาก)
ทรัพยากรมีอยู่มากน้อยแค่ไหน และหายากหรือเปล่า สามารถช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขันไหม เช่น บริษัท A มีบุคลากรที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ เทคนิคเฉพาะ ในการผลิตสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากในอุตสาหกรรมนี้ และเป็นสิ่งที่ยากที่คู่แข่งจะหาได้
Inimitability (เลียนแบบไม่ได้)
ทรัพยากรมีต้นทุนสูงไหม เลียนแบบได้ง่ายหรือเปล่า พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องมีความแตกต่างจากคู่แข่งที่ชัดเจน เลียนแบบได้ยาก เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ เช่น ธุรกิจสื่อการตลาด มีจุดแตกต่างคือ นำเสนอคอนเทนต์ที่เขียนโดย Data Analyst ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรความรู้เฉพาะ คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก
Organization (การจัดการองค์กร)
บริษัทหรือองค์กรมีระบบการจัดการที่ดี ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพไหม เช่น บริษัท C มีระบบการจัดการอย่างเป็นระบบโดยเครื่องมือ Martech เข้ามาช่วย
VRIO มีความสำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจ
การวิเคราะห์ VRIO ทำให้เรารู้ว่าทรัพยากรที่ธุรกิจมีอยู่ปัจจุบัน สามารถสร้างข้อได้เปรียบทางธุรกิจได้ และนำมา ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์ พัฒนาจุดแข็ง กลบจุดอ่อนและช่วยในการตัดสินใจในสิ่งต่างๆ อย่างมีข้อมูล
- ทำให้ธุรกิจมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง
การวิเคราะห์ VRIO Analysis ช่วยให้ธุรกิจทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กร รวมถึงประเมินโอกาสและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เมื่อธุรกิจเห็นจุดเด่นและจุดด้อยของตัวเองแล้ว นำไปปรับเป็นกลยุทธ์ เพื่อสร้างความแตกต่างและโดดเด่นในตลาดนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วางแผนกลยุทธ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์ VRIO ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบและจัดสรรทรัพยากรที่มีคุณค่ากับธุรกิจ เช่น ในธุรกิจร้านอาหาร หลังจากวิเคราะห์แล้วรู้ว่า วัตถุดิบและรสชาติ เป็นสิ่งที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง จำเป็นต้องวางแผนทำสัญญากับ Suppiler เพื่อให้เขาส่งวัตถุดิบให้เราคนเดียว ทำให้คู่แข่งไม่สามารถมีวัตถุดิบที่เหมือนเราได้
- ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
VRIO เป็นตัวช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจด้วยข้อมูลเชิงลึกจากทรัพยากรที่องค์กรมี และจัดลำดับความสำคัญโปรเจกต์ที่สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ เช่น เมื่อวิเคราะห์ออกมาแล้ว เครื่องหมายการค้า (Trademark) เป็นตัวที่ทำให้ได้เปรียบจากคู่แข่ง บริษัทควรให้ความสำคัญกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในหลากหลายประเทศทั่วโลก เพื่อไม่ให้ถูกลอกเลียนแบบ
แต่ VRIO Analysis Framework ก็มีข้อจำกัด เพราะธุรกิจเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนกลายเป็นเรื่องยาก โดยส่วนใหญ่ความได้เปรียบอาจอยู่ประมาณ 3-5 ปี และธุรกิจต้องมองหาความได้เปรียบอื่นๆ มาพัฒนาต่อยอด
สำหรับธุรกิจใหม่ หรือธุรกิจขนาดเล็ก อาจมองว่าการใช้ VRIO ยาก นั่นเป็นเพราะคุณอาจจะยังไม่ได้พัฒนาหรือวิเคราะห์ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้ Framework อื่นๆ ในการวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ได้
เปรียบเทียบระหว่าง VRIO Analysis, SWOT Analysis และ PESTEL Analysis
![VRIO Framework คือ อะไร](https://contentshifu.com/wp-content/uploads/2024/06/00_Incontent_VRIO-Framework-min-1-1024x410.png)
สามารถใช้ VRIO, SWOT และ PESTEL Analysis ร่วมกันได้ โดยอาจจะเริ่มต้นใช้ SWOT วิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจก่อนว่ามีจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส หรืออุปสรรคอะไรบ้าง จากนั้นใช้ VRIO เพื่อเจาะลึกลงไปในทรัพยากรภายในบริษัทที่คุณมี พร้อมวิเคราะห์ PESTEL เพื่อมองหาโอกาสที่แบรนด์จะคว้าไว้ได้ วิธีการนี้อาจจะทำให้คุณมองเห็นทรัพยากรที่มี (ซึ่งอาจไม่เคยรู้มาก่อน) และกลายเป็น ‘จุดแข็งที่แท้จริงขององค์กรคุณ’
วิธีการวิเคราะห์ด้วย VRIO Framework
![](https://contentshifu.com/wp-content/uploads/2024/06/vrio-mba-1.png)
VRIO Analysis Framework มีวิธีการวิเคราะห์แบบขั้นบันได โดยไล่วิเคราะห์ทรัพยากรไปทีละองค์ประกอบ เช่น องค์กรมีทรัพยากรเครื่องมือที่ล้ำสมัยที่แรกของไทย ซึ่งประหยัดวัตถุดิบและการใช้แรงงาน เราจะวิเคราะห์ว่าทรัพยากรนี้มีคุณค่าหรือไม่ เมื่อมีคุณค่า (Value) ก็จะไปวิเคราะห์ต่อที่องค์ประกอบสองว่า หายากไหม (Rarity) และไล่ไปเรื่อยๆ ตามตารางแบบขั้นบันได
โดยแต่ละขั้นบันได จะสรุปขีดความสามารถทางธุรกิจตามนี้ :
- ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Disadvantage) – ธุรกิจไม่มีคุณค่าที่ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
- มีความเท่าเทียมทางการแข่งขัน (Competitive Parity) – ธุรกิจมีคุณค่าแต่หาได้ง่าย ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
- มีความได้เปรียบทางการแข่งขันชั่วคราว (Temporary Competitive Advantage) – ธุรกิจมีคุณค่า หายาก แต่สามารถเลียนแบบได้ ก็จะได้เปรียบแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ไม่ได้ใช้ (Unused Competitive Advantage) – ธุรกิจมีคุณค่า หายาก เลียนแบบไม่ได้ แต่การจัดการองค์กรยังไม่เป็นระบบ ทำให้ความได้เปรียบที่มีไม่ถูกนำไปใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน (Sustainable Competitive Advantage) – ธุรกิจมีองค์ประกอบครบทั้ง 4 คือ มีคุณค่า หายาก เลียนแบบไม่ได้ และมีการจัดการองค์กรที่ดี ทำให้สามารถใช้ประสิทธิภาพของทรัพยากรได้เต็มที่ และขยายขีดความสามารถขององค์กรให้สูงและได้เปรียบกว่าคู่แข่ง
Shifu แนะนำ
การเลือกทรัพยากรในองค์กรมาวิเคราะห์ใน VRIO Framework สามารถเลือกจากความเข้าใจในธุรกิจของตัวเองว่ามีทรัพยากร หรือองค์ประกอบอะไรที่สำคัญต่อธุรกิจบ้าง
ตัวอย่างการใช้ VRIO ช่วยวิเคราะห์ความสามารถธุรกิจ
ตัวอย่างการใช้ VRIO ในการทำเว็บไซต์
![ตัวอย่างการใช้ VRIO ในการวิเคราะห์ธุรกิจ](https://contentshifu.com/wp-content/uploads/2024/06/03_Incontent_VRIO-Framework-min-1024x669.png)
ตัวอย่างการใช้ VRIO ในธุรกิจอาหาร
![ตัวอย่างการใช้ VRIO ในการวิเคราะห์ธุรกิจ](https://contentshifu.com/wp-content/uploads/2024/06/01_Incontent_VRIO-Framework-min-1024x634.png)
ตัวอย่างการใช้ VRIO ในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า
![ตัวอย่างการใช้ VRIO ในการวิเคราะห์ธุรกิจ](https://contentshifu.com/wp-content/uploads/2024/06/02_Incontent_VRIO-Framework-min-1024x768.png)
สรุป
VRIO Framework ทำให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืนจากทรัพยากรที่มี เสริมสร้างจุดที่บกพร่อง มองเห็นจุดแข็งที่แท้จริงหรือทราบถึงเอกลักษณ์ ที่คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบคุณได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในระยะยาวและสามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกธุรกิจ
ตาคุณแล้ว
อ่านบทความจบแล้ว อย่าลืมนำ VRIO Framework ไปลองใช้กับธุรกิจคุณ เพื่อให้กลายเป็นที่จดจำและใครก็ลอกเลียนแบบคุณไม่ได้ในเร็วๆนี้ ลองวิเคราะห์แล้วเป็นยังไง หรือมีคำถามเพิ่มเติม สามารถคอมเมนต์มาคุยกันได้นะคะ