สำหรับสายการตลาดที่ต้องวางกลยุทธ์อาจจะเคยรู้จักคำว่า 4P Marketing หรือ 7Ps Marketing อย่างแน่นอน เพราะสิ่งเหล่านี้คือส่วนประกอบของการทำ Marketing นั่นเอง
แต่ถ้าคุณคือผู้เริ่มต้นทำการตลาดหรืออาจจะเคยทำแค่แบบ 4Ps มาก่อนและอยากรู้จักว่า 7Ps คืออะไร มีปัจจัยไหนเพิ่มเข้ามาบ้าง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่า ทำไมต้องมีถึง 7Ps แตกต่างจากแบบ 4 ปัจจัยยังไง และมีอะไรบ้าง มาอ่านบทความไปพร้อมๆ กันได้เลย
ความแตกต่างระหว่าง 4Ps และ 7Ps Marketing
ก่อนจะเข้าเรื่องว่าเจ้า 7Ps คืออะไร ก็ต้องมาเท้าความถึงเจ้า 4Ps ด้วยเลยแล้วกัน
พูดกันแบบง่ายๆ ก็คือ สิ่งเหล่านี้เรียกโดยรวมว่า “Marketing Mix” หรือ “องค์ประกอบของการตลาด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อนักธุรกิจและนักการตลาดมาแทบทุกรุ่น
สำหรับ 4Ps คือ กลยุทธ์การตลาดที่จะเน้นให้ความสำคัญกับตัวสินค้า (Products) เป็นหลัก ประกอบไปด้วย Products, Price, Promotion, และ Place เพื่อคิดค้นกลยุทธ์ที่จะทำให้สินค้าของพวกเขาเข้าไปถึงใจของผู้บริโภคและในขณะเดียวกัน ก็ต้องแตกต่างและโดนเด่นกว่าสินค้าของบริษัทคู่แข่งด้วยเหมือนกัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้การปั้นไอเดียออกมาให้เป็นจริง
แน่นอนว่า 4Ps ที่กล่าวมาก็ครอบคลุมการผลิตสินค้าและบริการออกมาแล้ว แล้วทำไมถึงยังมี 7Ps ออกมาอีก?
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยีและปัจจัยหลายอย่างรอบตัวผู้บริโภค ส่งผลให้พฤติกรรมของพวกเขาย่อมแปรผันตามความต้องการในตัวสินค้ายังคงมีอยู่ แต่ความต้องการในเรื่องการบริการที่ดีและประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจที่พวกเขาคาดหวังจากแบรนด์เริ่มมีสูงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเหล่านักการตลาดจึงทำการแตกขยาย 4Ps ออกมาเพิ่มอีก 3 ปัจจัยเป็น 7Ps นั่นเอง ที่จะเจาะกลยุทธ์ทั้งสินค้าและบริการที่ดีแก่ผู้บริโภค ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นกับ Digital Marketing มากๆ
มาดูกันเลยดีกว่าว่าปัจจัยทั้ง 7 ที่ช่วยนำทางนักการตลาดในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
ประเภทของ 7Ps Marketing มีอะไรบ้าง

เริ่มต้นจาก 4Ps แรกแล้วค่อยขยายไปพูดถึงอีก 3 ตัวที่เป็นสมาชิกของ 7Ps กัน
1. Product
P ตัวแรกที่เราจะพูดถึงก็คือ Product ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่ว่า ‘สินค้าและบริการ’ เพียงอย่างเดียว เพราะรวมไปถึงลักษณะของสินค้าที่จะสามารถสื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความเป็น ‘แบรนด์’
ซึ่งวิธีที่จะนำมาซึ่งปัจจัยตัวแรกนี้นั้น นักการตลาดจำเป็นต้องหา Insight และเขียน Persona ของลูกค้าก่อนว่าคือใคร มีความชอบแบบไหน พฤติกรรมการบริโภคเป็นอย่างไร หรืออีกแบบคือการศึกษาจาก Feedback ของลูกค้าที่เคยใช้งานสินค้าและบริการของแบรนด์มาก่อน เพื่อยกระดับ Product ให้ออกมาดีและน่าพึงพอใจมากยิ่งขึ้น
การวางแผน Product ในโลก Online เพื่อพัฒนากลยุทธ์ Digital Marketing ของแบรนด์นั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงสองสิ่งสำคัญนั้นคือ Core Identity ที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของสินค้าและบริการที่เป็นที่ ‘ต้องการ’ และเติมเต็มความต้องการของลูกค้าจริงๆ อีกสิ่งคือ Extended Identity ที่เป็นส่วนเสริมหรือประโยชน์ของ Product ที่เกี่ยวข้องกับ Core Identity ตัวแรก
ตัวอย่าง ปัจจัยที่ครอบคลุมคำว่า Product นั่นก็คือ
- คุณภาพของสินค้าและบริการ
- การแสดงออกถึงความเป็นแบรนด์
- รูปภาพสินค้า
- การใช้งานของสินค้า
- ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใช้งาน
- บริการ Customer Service เป็นต้น
2. Price
Price หรือราคา คือ อีกปัจจัยที่สำคัญ ซึ่ง P ตัวนี้จะหมายถึงนโยบายด้านราคาของแต่ละบริษัทเพื่อนำมาเป็นรูปแบบในการตั้งราคาของสินค้าและบริการที่จะกระจายออกไปจำหน่ายในตลาด ซึ่งโดยปกตินั้นการตั้งราคาจะถูกมองว่าเป็นการสร้างกำไรให้บริษัทใช่ไหมคะ แต่ว่าการตั้งราคาก็ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเช่นเดียวกันเพราะว่าพวกเขาจะหาราคาที่อยู่ในเกณฑ์ที่เต็มใจจะจ่าย
ดังนั้น หากบริษัทตั้งราคาสินค้าหรือบริการไว้สูง พร้อมด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดีเยี่ยม เหมาะสมกับราคาที่ตั้งเอาไว้ ลูกค้าก็จะเต็มใจจ่ายในเกณฑ์ราคานี้ แต่ถ้าสินค้าและบริการดูไม่ค่อยมีคุณภาพหรือเหมาะสมกับเกณฑ์ราคา ลูกค้าอาจจะรู้สึก ไม่ค่อย เต็มใจที่จะจ่ายสักเท่าไหร่ เช่น เวลาสั่งของออนไลน์แล้วต้องเสียค่าส่งเพิ่มจากราคารวมของสินค้าทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้อาจจะเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เสนอฟีเจอร์ส่งฟรีให้ลูกค้า อาจจะสร้างความเต็มใจและพอใจมากกว่า เห็นได้ชัดว่าปัจจัยด้าน Product ส่งผลต่อ Pricing Model และความพอใจของลูกค้าขนาดไหน
ตัวอย่าง ปัจจัยที่ครอบคลุมคำว่า Price นั่นก็คือ
- Positioning ของแบรนด์
- ส่วนลดของสินค้าและบริการ
- วิธีการหรือช่องทางการชำระเงิน
- ฟีเจอร์ต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า เป็นต้น
3. Promotion
ปัจจัยที่ 3 ก็คือ Promotion หมายถึงวิธีการที่แบรนด์ใช้สื่อสารกับลูกค้าและบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของบริษัท ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่บริษัทต้องวางกลยุทธ์ตาม Segmentation ของลูกค้าที่เตรียมไว้ในส่วน Product นั่นเอง
โดยที่ปัจจัยตัวนี้จะส่งผลกับธุรกิจมากหรือน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจช่องทางที่จะทำการตลาดให้สินค้าและบริการของคุณ ไม่ใช่ว่าทุกข้อความจะสามารถส่งไปถึงผู้ฟังได้จากทุกช่องทางและแน่นอนว่าในโลกของ Digital Marketing นั่น การตลาดเพียงช่องทางเดียวอาจไม่เพียงพอ
คุณต้องรู้จัก Communication Tools ที่จะส่งขยาย ‘เสียง’ ของแบรนด์คุณให้ดังกังวาลมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง ของ Communication Tools ที่สำคัญในโลกของ Digital Marketing
- การทำ Ads เช่น การยิงโฆษณาแบบ Paid Search บนหน้า SERPs หรือ GDN
- การทำ SEO (Search Engine Optimize) เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในลำดับต้นๆใน Google
- การเปิดการขาย เช่น การสร้างหน้าสินค้าบนเว็บไซต์ หรือ การทำ Affilate Marketing
- การเสนอโปรโมชั่น เช่น การแจกคูปองลดราคา หรือ สะสมแต้ม
- การทำ PR เช่น การสร้าง Campaign ผ่าน # Hash tag หรือการจ้าง Influencer
- การทำสปอนเซอร์
- การทำ Email Marketing
- การจัด Event เช่น การจัดทำ Webminar ให้ความรู้
- การทำ P2P หรือ Peer-to-peer เพื่อสร้างกระแสผ่าน Advocate เป็นต้น
4. Place
ปัจจัยที่จะช่วยวางแผนกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์คุณ คือ Place ซึ่งแปลตามตัวก็คือสถานที่ที่คุณจะกระจายสินค้าและบริการของคุณเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ แน่นอนว่าคุณอาจจะนึกถึงการขายของตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หรือร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ทุกหัวมุมถนน แต่นั่นเป็นเพียงวิธีการแบบ Offline เท่านั้น แต่อย่างที่บอกไปว่าการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมลูกค้า การที่คุณสามารถวางสินค้าและบริการของคุณในที่ที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้จากหน้าจอโทรศัพท์ ก็ย่อมเป็นการสร้างความสะดวกสบายได้ดีเลยทีเดียว
อีกอย่างก็คือคุณอาจจะมีเว็บไซต์แบรนด์ของตัวเอง พร้อมกับหน้า Shopping Site ที่ลูกค้าสามารถหยิบสินค้าตัวไหนก็ได้ลงตะกร้า แต่จะดีกว่าไหมถ้าคุณกระจายสินค้าและบริการของตัวเองผ่านเว็บไซต์ Third-party ที่ทั้งลูกค้าของคุณเองและว่าที่ลูกค้าสามารถเข้ามาพบเจอได้โดยง่าย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยคือ เว็บไซต์ Watsons หรือ Gowabi ที่เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับความสวยงามที่รวบรวมสินค้าและบริการในด้านนี้มาเยอะมาก ซึ่งเป็นอีกวิธีในการเพิ่ม Awareness ให้กับลูกค้า ของ Platform นั้นเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ หรืออาจจะเป็นเว็บไซต์ B2C หรือ C2C อย่าง Shopee และ Lazada ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
ตัวอย่าง ปัจจัยที่ครอบคลุมในเรื่อง Place
- ช่องทางในการซื้อขายที่เหมาะสม
- จำนวนช่องทางที่เหมาะสม
- ช่องทางตาม Segmentation ของลูกค้า
- ช่องทางที่พร้อมสนับสนุนลูกค้า (Sale Support)
มาถึง P อีกสามตัวที่ขยายออกมาจาก 4P แรกนั่นก็คือ People, Process, และ Physical Evidence โดยที่เจ้า 3 ตัวนี้มีความเกี่ยวโยงกันตรงที่เป็นปัจจัยที่สนับสนุนในด้าน ‘บริการ’ มากกว่า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและรักษา Loyalty ของลูกค้าไว้นั่นเอง
5. People
P ตัวแรกก็คือ People ซึ่งเป็นปัจจัยที่ครอบคลุมถึงการที่พนักงานของบริษัทสื่อสารหรือปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมอื่นๆ ในขณะระหว่างการซื้อขายหรือบริการก่อนและหลังการขายกับลูกค้า
ซึ่งในการทำ Digital Marketing นั้นการมีส่วนร่วมหรือความช่วยเหลือของพนักงานส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของของลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการตอบอีเมลหรือตอบข้อความบนเว็บไซต์ หรือแม้แต่ Chatbot ก็ส่งผลด้วยเช่นกัน
หลายๆ บริษัทอาจจะมีทำหน้า FAQ ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่อย่าลืมว่าลูกค้าแต่ละคนย่อมมีความแตกต่าง ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบเหล่านั้นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาก็ได้ หรือเคยเจอสถานการณ์ที่คุณต้องการ Support ในทันทีจากบริษัทสักที่ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ถึงแม้ว่าจะมีเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทขึ้นโชว์ไว้ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อ User Experience ของลูกค้าอย่างแน่นอน หรือถ้าแย่กว่าเดิมก็คือ Peer-to-peer หรือการบอกต่อ (ในเรื่องที่ไม่ดี) อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ดังนั้นบริษัทในยุค Digital ควรคำนึงถึงความสำคัญของฝ่ายบริการและ Support ลูกค้าให้มากขึ้น และตัวอย่างที่สำคัญและควรคำนึงใน People ข้อนี้ก็คือ
- การมีข้อมูลเพื่อ Contact ลูกค้าแบบรายคน
- การสื่อสารกับลูกค้าโดยที่ยังคงความเป็นแบรนด์ไว้
- การคัดเลือกคนที่เหมาะสมให้มาอยู่ในตำแหน่ง
6. Process
ตัวถัดมาก็คือ Process หรือวิธีการหรือกระบวนการบริษัทและองค์กรใช้ในการทำงานเพื่อเข้าถึงและประยุกต์ใช้กลไกทางการตลาดกับสินค้าและบริการของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้า การทำ PR โปรโมทแบรนด์ หรือแม้แต่การเข้าถึงลูกค้าโดยการใช้ Customer Service ก็ตาม
โดยเจ้าตัว Process จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และสร้าง Customer Experience ได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณสามารถจำแนก Journey ของลูกค้าได้ตั้งแต่แรกเริ่มว่าในแต่ละขั้นตอนลูกค้ามีความต้องการอะไรบ้าง และบริษัทสามารถใช้วิธีไหนเข้ามาช่วยเหลือลูกค้าเพื่อไม่ให้ลูกค้าเสียความรู้สึกกับทางแบรนด์
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เหมาะสมในการตอบกลับข้อความของลูกค้าที่ส่ง enquiry เข้ามาควรอยู่ในช่วงเวลากี่นาที? หลังจากลูกค้ากดซื้อของแล้ว หน้า Landing page ที่ควรส่งเขาไปคือหน้าไหนกันนะ? เป็นต้น เพราะฉะนั้นในปัจจัยนี้ การใช้ความสำคัญในเรื่อง Design หรือ UI/UX ของเว็บไซต์เป็นเรื่องจำเป็นพอสมควร บวกกับความเร็วและคุณภาพของ Customer Service ของคุณ
ตัวอย่าง ที่ควรจะโฟกัสเพื่อยกระดับ Process
- การโฟกัสที่ลูกค้าโดยเฉพาะ (Customer’s Journey)
- การทำงานของทีม IT และเว็บไซต์
- ความสำคัญของ UI และ UX ของเว็บไซต์
- การทำ Research และเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาและต่อยอด
7. Physical Evidence
ในที่สุดเราก็มาถึง P ตัวสุดท้ายนั้นก็คือ Physical Evidence ซึ่งถ้าให้แปลตรงตัวก็คือ หลักฐานที่จับต้องหรือพิสูจน์ได้ แต่ถ้าในบริบทของ Marketing Mix นั้นสิ่งนี้จะครอบคลุมถึงประสบการณ์ที่จับต้องได้ที่ลูกค้าได้รับจากบริษัทหรือสินค้าและบริการจากบริษัทนั้นเอง
ประสบการณ์ที่ดีที่บริษัทสามารถมอบให้คือยังไงกันนะ ให้ลองนึกถึงเวลาคุณเลือกที่จะซื้อตั๋วเครื่องบิน บางคนอาจจะชอบประสบการณ์ที่ได้รับจากสายการบินนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือการบริการที่ดีจากแอร์โฮสเตส การบริการน้ำและอาหารตลอดทั้งเที่ยวบิน น้ำหนักกระเป๋าที่ไม่ต้องคิดเงินเพิ่ม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนด Image ของแบรนด์และสร้าง Customer Experience ที่ดีแก่ลูกค้าให้กลับมาใช้บริการใหม่อีก โดยที่ถึงแม้จะมีราคาค่อนข้างสูงแต่รู้สึกคุ้มค่า
บทความแนะนำ : รู้จัก Customer Data Platform (CDP) เครื่องมือที่ช่วยให้เข้าใจลูกค้าอย่างละเอียด
ส่วนในกรณีของ Digital Marketing ก็คือการที่แบรนด์ใส่ใจกับการสร้าง Website ที่มีดีไซน์สวย ใช้งานง่าย จ่ายเงินสะดวก ลื่นไหล และรวมถึงการที่มีส่วน Support ลูกค้าที่ไม่ว่าจะเป็น FAQ, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล หรือแม้แต่ Chatbot ที่ลูกค้าสามารถถามได้ตลอด 24 ชม. ก็เป็นหนึ่งใน Customer Experince ที่ดีที่จะดึงดูดลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่ามาที่แบรนด์อีกครั้ง
ตัวอย่าง ที่ควรคำนึงถึงใน Physical Evidence ก็คือ
- การสร้าง CX ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ Online หรือ Offline
- ความสำคัญของฝ่าย Website Development
- ความสำคัญของ Website Design
- การจัดทีม Customer Support ที่ดีและมีประสิทธิภาพ
สำหรับคนที่กำลังศึกษาหรือเพิ่งเริ่มรู้จัก Customer Experience หรือ CX ขอแนะนำมาอ่านบทความนี้นะคะ 5 เทรนด์ของ CX ที่จะเกิดขึ้นในเอเชีย
รับรองว่าคุณจะสามารถเข้าถึงการสร้างกลยุทธ์ Marketing หรือ Digital Marketing บนปัจจัย Physical Evidence ได้อย่างไม่ยากเลย
สรุป
7Ps Marketing Mix ที่อธิบายมานั้นล้วนมีความสำคัญกับการที่บริษัทเลือกที่จะผลิตสินค้าหรือบริการขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้าได้ ดังนั้นการมีความแม่นยำในกลยุทธ์พร้อมลงมือทำแล้วเรียนรู้จากประสบการณ์ไปด้วยย่อมเป็นการสร้างแบรนด์ที่ดี และการเอาชนะใจลูกค้าโดยเฉพาะในออนไลน์อาจจะไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้นอีกต่อไป
มีใครลองนำไปประยุกต์แล้วบ้าง? มาแชร์กันค่ะ
พิมพ์ผิดอยู่หลายที่นะคะ เช่น คำว่า shoppee, แยู่ เป็นต้น น่าจะมีการพิสูจน์อักษรก่อนนำบทความขึ้นนะคะเพราะบทความน่าสนใจและเป็นประโยชน์มากๆ แต่การพบคำผิดอยู่หลายที่ทำให้ส่งผลต่อความเชื่อถือของบทความค่ะ
สวัสดีค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ บทความนี้มีพิมพ์ผิดหลายจุดจริงๆ ค่ะ ทางเราได้ทำการตรวจทานและแก้ไขคำผิดแล้วค่ะ
ในฐานะผู้ดูแลเว็บไซต์ ต้องขออภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยนะคะ และจะป้องกันไม่ให้ผิดพลาดอีก หรือผิดพลาดน้อยที่สุดค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ