เคยสังเกตไหมว่าเกือบทุกสถานที่ที่เราไปมักจะเปิดเพลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายเสื้อผ้า หรือแม้แต่ร้านทำผม ซึ่งเสียงเพลงในแต่ละร้านก็มักจะมีทำนองที่แตกต่างกัน อย่าง Starbuck ชอบเปิดเพลงที่เข้ากับบรรยากาศร้านและเป็นเพลงที่เราหาฟังทั่วไปในอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ส่วนร้านหมูกระทะก็ชอบเปิดเพลงเศร้า เพลงอกหัก แล้วทำไมสถานที่ต่างๆ ต้องเปิดเพลง? เสียงเพลงสามารถเพิ่มยอดขายได้จริงไหม? ตามมาดูกัน!

Music Marketing คืออะไร

Music Marketing คือ การใช้เสียงเพลงและดนตรีเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อโฆษณาแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก หรือใช้ในการโปรโมตสินค้า บริการ และแคมเปญต่างๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ได้  Music Marketing ยังเป็นหนึ่งในรูปแบบของ Emotional Marketings หรือการทำการตลาดที่เล่นกับความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายโดยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้าน ทางด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ มากกว่าด้านเหตุผล การทำการตลาดด้วยเสียงเพลงที่ประสบความสำเร็จจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกคล้อยตาม ชื่นชอบแบรนด์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มยอดขายอีกด้วย

ทำไมเสียงเพลงสามารถเพิ่มยอดขายได้

1. สร้างบรรยากาศ

บรรยากาศที่ดีสามารถช่วยให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและเพลิดเพลินมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของพวกเขา เช่น ผู้คนมักจะใช้จ่ายมากขึ้นในสถานที่ที่พวกเขารู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลิน โดยการใช้เสียงเพลงก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยสร้างบรรยากาศให้กับสถานที่ต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สนุกสนาน ตื่นเต้น หรือโรแมนติก

2. สร้างความรู้สึก

แน่นอนว่าเสียงเพลงสามารถช่วยสร้างความรู้สึกต่างๆ ให้กับผู้คนได้ เช่น ความสุข เศร้า ตื่นเต้น ผ่อนคลาย เช่น เมื่อฟังเพลงช้าก็จะรู้สึกเศร้า ฟังเพลงเร็วก็จะรู้สึกสนุกสนาน และเมื่อลูกค้าได้ฟังเพลงโปรดที่ชอบก็ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีในร้านนั้นๆ จนทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ โดยการศึกษาของ Music Work ยังพบว่า ผู้บริโภค 31% บอกว่าจะกลับไปซื้อสินค้าของแบรนด์หนึ่งๆ ซ้ำเพราะชอบเพลง อีกทั้งการที่คนฟังมีอารมณ์ร่วมในขณะที่ฟังเพลงยังช่วยขับเคลื่อนอารมณ์ให้มีความรู้สึกร่วมกับแบรนด์ซึ่งส่งผลต่อการซื้อสินค้าและบริการด้วย

3. บันทึกความทรงจำ

เพลงสามารถช่วยบันทึกความทรงจำให้กับผู้คนได้ โดยปกติผู้คนมักจะจดจำเพลงที่พวกเขาฟังในช่วงชีวิตที่สำคัญ เช่น เพลงที่พวกเขาฟังตอนเรียนจบ เพลงที่พวกเขาฟังตอนไปเที่ยวกับแฟน ฯลฯ ความทรงจำเหล่านี้สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของพวกเขา เช่น ผู้คนมักจะใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อพวกเขาได้ยินเพลงที่พวกเขามีความรู้สึกดีๆ กับมัน

4. เพิ่มเวลาการอยู่ในร้าน

เสียงเพลงสามารถช่วยเพิ่มเวลาการอยู่ในร้านของผู้คนได้ โดยงานวิจัยพบว่า ร้านที่เปิดเพลงช้ามักจะทำให้ผู้คนใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้นกว่าร้านที่เปิดเพลงเร็ว เพราะเพลงช้าทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินมากขึ้น ทำให้พวกเขาอยากใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น ซึ่งส่งผลต่อโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการของพวกเขา

กรณีศึกษาจากธุรกิจที่ใช้ Music Marketing

Starbuck

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผู้คนชอบซื้อเครื่องดื่มจาก Starbuck นอกจากมีเครื่องดื่มและขนมที่มีคุณภาพและการบริการที่ยอดเยี่ยมแล้ว แน่นอนว่า “เสียงเพลง” ยังเป็นอีกสิ่งที่ Starbuck ให้ความสำคัญ Starbuck ทำการทดสอบอย่างจริงจังว่าเสียงเพลงแบบไหนที่สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ โดยทดลองเปิดเพลงสามแบบคือ ไม่เปิดเพลง เปิดเพลงที่ใครๆ ก็รู้จัก และเปิดเพลงที่เข้ากับบรรยากาศของร้าน ผลสรุปออกมาว่าเพลงที่ใครๆ รู้จักทำให้ลูกค้านั่งอยู่ในร้านนานมากขึ้นก็จริง แต่เพลงที่เหมาะกับบรรยากาศของร้านกลับช่วยเพิ่มยอดขายได้มากกว่า Starbuck จึงมีการลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ และซื้อกิจการของค่ายเพลงที่รวมศิลปินอินดี้ไว้เลยทำให้เราเสิร์ชหาเพลงนั้นไม่เจอเพราะ Starbuck ไม่อยากเปิดเพลงที่ทุกคนรู้จักแต่อยากเปิดเพลงที่เข้ากับบรรยากาศของร้านเพื่อให้คนมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นนั่นเอง

สุกี้ตี๋น้อย

หลายคนที่เคยไปร้านบุฟเฟ่ต์ยอดฮิตอย่างสุกี้ตี๋น้อยต้องเคยรู้สึกอินกับเพลงเศร้าที่กำลังเพลงกระแสอย่างแน่นอน จนบางทีเราก็แอบสงสัยว่าทำไมทุกครั้งที่ไปร้านนี้เขาต้องเปิดเพลงเศร้า? ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะว่าจากการศึกษาพบว่าการที่ลูกค้าได้ฟังเพลงที่กำลังฮิตติดกระแสจะทำให้ลูกค้าอยู่ในร้านนานแต่ซื้อสินค้าน้อย สิ่งนี้อาจจะส่งผลเสียต่อธุรกิจประเภทอื่นๆ แต่ถ้าสำหรับร้านบุฟเฟ่ต์ที่ทานได้ไม่อั้น การที่ลูกค้าสั่งอาหารน้อยในขณะที่จ่ายราคาเ่ทาเดิมย่อมทำให้ร้านได้เปรียบ อีกทั้งยังมีผลวิจัยจาก University of Lincoln ออกมาว่าการที่คนเราฟังเพลงเศร้าจะสามารถทานอาหารได้น้อยลง และเมื่อเราทานอาหารได้น้อยลงก็ส่งผลดีต่อร้านบุฟเฟ่ต์เช่นกัน

Apple

Cr. Medium

Apple เป็นหนึ่งในแบรนด์ระดับโลกที่นำกลยุทธ์ Music Marketing มาใช้ในแคมเปญ “Think Different” ที่เปิดตัวในปี 1997 โดยSteve Jobs แคมเปญนี้ใช้ภาพบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และวงการต่างๆ เช่น Albert Einstein, Mahatma Gandhi, Bob Dylan, Dr. Martin Luther King และ John Lennon ประกอบกับเพลง “Imagine” ของJohn Lennon เพลงที่พูดถึงโลกที่ทุกคนเท่าเทียมกันและทุกคนสามารถใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการได้เพื่อสื่อถึงแนวคิดของ Apple ว่าแม้แต่คนที่คนอื่นมองว่าแปลกประหลาดก็สามารถสร้างความแตกต่างและสามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้ โดยเป็นแรงบันดาลใจสนับสนุนให้ทุกคนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา 

ใช้กลยุทธ์ Music Marketing ยังไงให้สำเร็จ

1. กำหนดเป้าหมาย

ขั้นตอนแรกก่อนที่จะลงลึกไปในเรื่องของเสียงเพลง ทุกแบรนด์ควรมีการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแคมเปญก่อนว่าต้องการนำเสียงเพลงมาใช้ในแคมเปญอะไร เพราะอะไร ที่ต้องรู้เป้าหมายก่อนเนื่องจากกลยุทธ์ต่างๆ ในการใช้เพลงนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมาย เช่น ถ้าเป้าหมายคือการสร้างการรับรู้ ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ การใช้เพลงที่มีชื่อแบรนด์ในเนื้อเพลงอาจจะช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากกว่าการใช้เพลงที่เน้นพูดถึงประโยชน์ของสินค้าและบริการ อย่างเพลงกินอะไรไปกิน MK ที่สามารถช่วยสร้างภาพจำของแบรนด์ได้อย่างดี

2. ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย

หลังจากที่ตั้งเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายให้ดีก่อนว่าเขาคือคนกลุ่มไหน วัยไหน เพศไหน พฤติกรรมเป็นอย่างไร ชอบฟังเพลงแนวไหน ไลฟ์สไตล์เป็นอย่างไรเพื่อที่จะได้สามารถเลือกเพลงที่ใช่และสื่อสารไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่นที่ชื่นชอบการตามกระแสโซเชียลมีเดีย การเลือกใช้เพลงที่ฮิตติดชาร์ตและดึงศิลปินหรือ Influencer มาสร้างเสียงเพลงใหม่ๆ ให้กับแบรนด์อาจจะทำให้แฟนคลับรู้จักแบรนด์มากขึ้น

3. เพลงที่ใช่

เพลงที่เหมาะสมควรมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแคมเปญ รวมถึงสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกที่แบรนด์ต้องการสื่อถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยการที่ได้ยินเสียงเพลงจากร้านต่างๆ จะช่วยสร้างความเป็นกันเองและช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย นับเป็นการเชื่อมโยงแบรนด์และลูกค้าให้ใกล้กันยิ่งขึ้น เมื่อลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับร้านค้าแล้วก็อยากจะอยู่ในร้านไปนานๆ จนกระทั่งซื้อสินค้าและบริการในที่สุด เพลงที่เลือกควรเป็นเพลงที่สั้น จำง่าย มีลักษณะเฉพาะ ง่ายต่อการร้อง หรือทำตาม

4. ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย

ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ากระแสที่อยู่บนโซเชียลมีเดียนั้นกระจายได้ไวมากๆ ดังนั้นโซเชียลมีเดียจึงเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่เพลงและคอนเทนต์ต่างๆ ของแคมเปญ เราจึงควรใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์อย่างเต็มที่ โดยสำรวจช่องทางที่มีกลุ่มเป้าหมายอยู่เพื่อทำการตลาดให้ถูกช่องทางและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด

สรุป

Music Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ สินค้า หรือบริการได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย จะเห็นว่าในยุคนี้หลายแบรนด์ต่างก็มีการใช้เสียงเพลงเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้าและบริการของตนเอง ดังนั้นในปีหน้าแน่นอนว่าการนำเสียงเพลงมาใช้ในการทำการตลาดนัยเป็นไอเดียที่น่าสนใจเลยทีเดียว

ตาคุณแล้ว

อ่านจบแล้วเพื่อนๆ คงเห็นถึงความสำคัญของการนำเสียงเพลงมาใช้ในการทำการตลาดเพื่อเป้าหมายต่างๆ ของแบรนด์แล้ว สำหรับใครที่ต้องการตามเทรนด์การตลาดปี 2024 ให้ทันก่อนก้าวสู่ปีใหม่สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่