สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับการทำ Digital Marketing อยู่ คงจะเคยเห็นคำว่า ‘SEM' (อ่านว่า เอส-อี-เอ็ม) แบบผ่านหูผ่านตากันมาบ้างไม่มากก็น้อย

และอาจจะสงสัยว่า SEM คืออะไร? 

มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการทำ Digital Marketing?

และทำไมนักการตลาดทั้งหลายถึงได้พูดถึงและให้ความสำคัญกับการทำ SEM มากนัก?

ไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบจากที่อื่นแล้วค่ะ

เพราะในบทความนี้จะมาไขข้อข้องใจให้กับเจ้าของธุรกิจและนักการตลาดรุ่นใหม่เช่นคุณ เกี่ยวกับกลยุทธ์การทำการตลาดที่เรียกว่า SEM ทั้งในแง่ของความหมายและเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณทำ SEM แบบเบื้องต้นได้ในไม่กี่ขั้นตอน 🙂

Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร?

Search Engine Marketing (SEM) คือ รูปแบบการทำการตลาดบนระบบ Search Engine ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ เช่น Google, Yahoo, Bing, Baidu เป็นต้น และยังเป็นหนึ่งในรูปแบบการทำ Google Ads หรือชื่อเดิมคือ Google AdWords (ซึ่งในบทความนี้จะขอพูดถึงการทำ SEM บน Google เป็นหลักนะคะ)

ส่วนใหญ่การทำการตลาดรูปแบบนี้จะทำผ่านช่องทางเว็บไซต์ เพื่อทำให้ธุรกิจของเราเป็นที่รู้จักหรือพบเห็นได้บนระบบ Search Engine ซึ่งช่วยต่อยอดโอกาสในการขายสินค้าและบริการของเราได้ในอนาคต

ตัวอย่างการตลาดแบบ Search Engine Marketing

ต่อไปมาดูกันว่า Search Engine Marketing มีตัวอย่างในชีวิตจริงอย่างไร

สมมติว่า เราอยากได้รองเท้าสักคู่ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกรองเท้าแบบไหนดี เราจะใช้อะไรในการค้นหาคำตอบ?

การทำ SEM บน Google

แน่นอนค่ะว่า เราเปิด Google ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบ Search Engine ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก เพื่อพิมพ์ ‘Keyword หรือ คำสำคัญ' ในการค้นหา เช่น รองเท้ายี่ห้อไหนดี, รองเท้าสวยๆ, อยากได้รองเท้า ฯลฯ

ตัวอย่างแสดงผลของ SEM บนหน้า Search Engine
เปรียบเทียบตัวอย่างแสดงผลของ SEO และ SEM บนหน้า Search Engine

หลังจากนั้น Google จะแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของเรามาให้ ซึ่งผลลัพธ์ที่โชว์ขึ้นมาบนหน้า Google ให้เราเห็นนั้นเกิดจากการทำการตลาดแบบ SEM ทำให้คน Search มาเจอเว็บไซต์ของเราในระบบ Search Engine มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจของเราเป็นที่รู้จักหรือพบเห็นในระบบมากขึ้นนั่นเอง

Search Engine Marketing แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง

วิธีทำการตลาดแบบ Search Engine Marketing (SEM) แบ่งเป็น 2 ประเภท นั่นก็คือ

  1. Organic Search
  2. Paid Search

Organic Search

ผลลัพธ์การทำ SEO ต่างจาก SEM อย่างไร
ตำแหน่งของผลการค้นหาแบบ Organic Search จะอยู่ด้านล่างของการโฆษณาประเภท Paid Search

Organic Search หรือที่รู้จักกันในวิธีการทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้ Search Engine จัดอันดับเว็บไซต์ของเราไว้เป็นอันดับต้นๆ ของการค้นหา ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์มี Organic Traffic มากขึ้น

โดย Organic Traffic คือ ผู้ชมเว็บไซต์ที่มาจากการค้นหาข้อมูลใน Search Engine โดยข้อดีคือ เป็น Traffic ที่เจ้าของเว็บไซต์ไม่ต้องเสียเงินโฆษณาให้ Google แม้แต่บาทเดียว

การที่จะมี Organic Traffic เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เราจะต้องทำการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพทั้งในด้านโครงสร้าง, เนื้อหา, และ Keyword ให้ดี เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณไต่อันดับจากหน้าท้ายๆ ขึ้นมาอยู่ในหน้าแรกๆ ของระบบ Search Engine แทน

ผลลัพธ์การทำ SEM ต่างจาก SEO อย่างไร
ผลลัพธ์การค้นหาจะแสดงอยู่ด้านบนการทำการตลาดแบบ Organic Search และมี เครื่องหมาย “Ad” เป็นสัญลักษณ์อยู่ด้านหน้า URL

Paid Search คือ การที่เราจะจ่ายเงินซื้อพื้นที่โฆษณาบน Search Engine โดยจะจ่ายค่าโฆษณาตามจำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาเพื่อเข้าไปชมในเว็บไซต์ (Pay Per Click : PPC) ผ่านการสร้างแคมเปญโฆษณาตาม Keyword ที่เราวางแผนไว้ 

ซึ่งผลลัพธ์ที่เราซื้อพื้นที่โฆษณานั้นจะปรากฏอยู่บนหน้า Search ในตำแหน่งแรกๆ ทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เลยในทันที ไม่ต้องใช้เวลารอนานเหมือนกับการทำ Organic Search 

Shifu แนะนำ
หลายคนนิยมเรียก Paid Search ว่า PPC เพราะโมเดลที่เราคุ้นเคยเกี่ยวกับการจ่ายโฆษณาของ Search คือการจ่ายตามจำนวนคลิก แต่ความจริงแล้ว Paid Search นั้นมีโมเดลการจ่ายเงินค่าโฆษณาหลายโมเดล ยกตัวอย่างเช่น Pay per Thousand Impression หมายถึงจ่ายตามจำนวนการมองเห็น (ต่อ 1 พันครั้ง) รวมอยู่ด้วย

ข้อดีของ SEM ต่อธุรกิจ

หลังจากที่เราทำความเข้าใจแล้วว่า SEM คืออะไร และมีวิธีการทำได้อย่างไรบ้าง คราวนี้เข้าสู่คำถามต่อมา นั่นก็คือ ข้อดีของ SEM มีอะไรบ้าง

โดยส่วนตัวของผู้เขียนนั้น คิดว่า SEM เป็นช่องทางที่ทำให้สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จัก และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงเป้าหมายมากที่สุดช่องทางหนึ่ง

เนื่องจากเป็นการทำการตลาดโดยอาศัยความสงสัยหรือปัญหาของมนุษย์เป็นเครื่องมือในการสร้างยอดขายเป็นหลัก ซึ่งถ้าสินค้าหรือบริการของเราสามารถแก้ปัญหาหรือเป็นคำตอบของข้อข้องใจนั้นๆ ได้แบบถูกจุด และเราทำ SEM เพื่อให้ลูกค้าค้นหาเจอเราได้ง่าย เราก็มีโอกาสนำเสนอสินค้าและบริการ รวมถึงได้พบกับ Lead หรือผู้มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าเราได้มากขึ้น

ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพกันชัดๆ นะคะ สมมติว่า เรามีกิจการขายรองเท้ากีฬาที่ต้องการทำ SEM เพื่อให้คนรู้จักและเข้ามาซื้อสินค้าในเว็บไซต์ของเรา

ก่อนอื่นเลยเราจะต้องหาให้เจอก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราที่ใช้ Google หรือโปรแกรมการค้นหาอื่นๆ จะ Serch คำว่าอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา?

วิธีการทำ SEM ตามขั้นตอน Sale funnel ของการตลาด

แน่นอนค่ะว่า กลุ่ม Keyword อย่าง “ซื้อรองเท้ากีฬา” คงจะเป็นกลุ่ม Keyword แรกๆ ที่เรานึกถึง 

แต่อย่างที่เราบอกไปในข้างต้นนะคะว่า “เราสามารถนำความสงสัยหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมาทำการตลาดด้าน SEM ได้เหมือนกัน”

ดังนั้น เราอาจจะลองวิเคราะห์ว่า กลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังมองหาอยู่นั้นเขามีปัญหาอะไรที่ต้องทำให้มาซื้อรองเท้ากีฬาจากเราได้บ้าง?

พวกเขาอาจจะกำลังหาวิธีการออกกำลังกายอยู่หรือเปล่า? 

หรือถ้าใกล้ขึ้นอีกหน่อยอาจจะอยู่ในช่วงของการตัดสินใจว่า ซื้อรองเท้ายี่ห้อไหนถึงจะดี?

ทีนี้เราก็ลองทำ Content ที่มีกลุ่ม Keyword ที่เป้าหมายของเรากำลังค้นหาเพื่อดึงดูดให้พวกเขาเหล่านั้นเข้ามาเจอสินค้าและบริการของเรา ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นเทคนิคที่ช่วยขยายฐานกลุ่มเป้าหมายของเรา ทำให้มีโอกาสได้กลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย

เทคนิคการทำ SEM ให้ประสบความสำเร็จ [เบื้องต้น]

ในการทำ SEM ไม่ว่าคุณจะสนใจมาสาย Organic หรือ Paid ทั้งสองสายล้วนมีปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จร่วมกัน ได้แก่

Keyword 

ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO หรือ  Paid Search ล้วนต้องให้ความสำคัญกับ Keyword ที่เป็นคำหรือวลีที่คนใช้ในการค้นหาบน Search Engine

เพราะถ้าเราเลือกคำ Keyword ที่ถูกต้อง จะเป็นการคัดกรองคนที่สนใจในสินค้าหรือบริการของเราอยู่แล้วเข้ามายังเว็บไซต์ได้แม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้ง่าย และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการ Bid ซื้อโฆษณาใน Keyword ของแคมเปญ Paid Search ที่ไม่จำเป็นไปได้อีกเยอะ

วิธีการเลือกวางแผนคำ Keyword

  • จะต้องเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือเป้าหมายของเว็บไซต์ (Relevance) เช่น เป็น Keyword ที่บอกถึงชื่อ ยี่ห้อ รุ่น หรือเป็นคำที่บ่งบอกปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย 
  • ทำการ Research มาแล้วว่ามีคนใช้ในปริมาณที่มากพอสมควรแน่ๆ ควรเลือกใช้ Keyword ที่มีคนใช้งานมากพอสมควรเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น
  • เราต้องแน่ใจว่า Keyword ที่เราเลือกมาใช้นั้นเราสามารถแข่งขันได้ พยายามเลือก Keyword ที่เราสามารถทำอันดับติดบนหน้า 1-2 ของระบบ Seach Engine ได้ หรือถ้าเป็นการซื้อโฆษณาที่ต้องจ่ายเงินในการซื้อ Keyword ก็ต้องคำนวณเรื่องของงบประมาณ และความคุ้มค่าให้ดี
Shifu แนะนำ
สำหรับใครที่สนใจเทคนิคและวิธีการหา Keyword อย่างละเอียด เรามีเทคนิคและวิธีการเลือกวางแผน Keyword มาฝากกัน อ่านต่อได้เลย ที่นี่

Quality Website

เว็บไซต์ก็เหมือนกับหน้าร้านขายสินค้าของเรา ถ้าเว็บไซต์มีคุณภาพก็ย่อมเรียก Traffic เข้ามาได้มาก 

แต่คำว่า “คุณภาพ” ที่เราพูดถึงมีอะไรเป็นตัวชี้วัด? และเราจะต้องปรับแต่งเว็บไซต์อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพ? 

เรามาดูตัวอย่างคำแนะนำที่ใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ดีขึ้นได้กันดีกว่าค่ะ

  • Website Structure / Sitemap

เราคงไม่อยากให้เว็บไซต์ของเราใช้งานยาก ใครเข้ามาก็หลงทางหาอะไรไม่เจอใช่ไหมคะ?

ดังนั้น การทำ Sitemap หรือ Structure ของเว็บไซต์ให้ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ เราควรควรเรียง Content ในเว็บไซต์ให้เข้าถึงได้ง่ายและเป็นระเบียบ 

เพราะนี่ไม่ใช่การจัดข้อมูลเพื่อคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดหน้าร้านต้อนรับ “Bot” โปรแกรมที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ของเราแล้วนำส่งไปจัดอันดับคุณภาพของหน้าแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ ให้เข้ามาเก็บข้อมูลในทุกหน้าเว็บของเราได้แบบทั่วถึงมากขึ้น 

  • Website Speed 

ระบบ Search Engine ให้ความสำคัญในเรื่องการ Speed เว็บไซต์เป็นอย่างมากค่ะ ยกตัวอย่างในเคสของ Google นะคะ ที่ให้ค่าความน่าเชื่อกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ส่งผลให้ Search Engine Ranking บน Google สูงกว่าเว็บที่โหลดช้าอย่างเห็นได้ชัด 

นั่นก็เพราะเว็บไซต์ที่โหลดเร็วย่อมทำให้ผู้ใช้งานพึงพอใจได้มากกว่า แน่นอนว่า เมื่อผู้ใช้ชอบ Google ก็ต้องจัดอันดับคุณภาพเว็บไซต์เราให้อยู่ในอันดับที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน

(อ่านรายละเอียดเรื่อง Speed เว็บไซต์ ทำอย่างไรให้เว็บเร็วเหมือนติดจรวดได้ ที่นี่)

  • Mobile Friendly 

Mobile Friendly ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนทำเว็บไซต์ควรตรวจสอบและให้ความจำเป็นค่ะ 

เพราะการออกแบบเว็บไซต์ให้เป็น Mobile Friendly รองรับการแสดงผลของหน้าจอได้ในทุกอุปกรณ์ นอกจากจะช่วยทำให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งซูมเข้า ซูมออก เพื่ออ่านข้อมูลบนเว็บไซต์ของเราแล้ว 

Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google ยังมีนโยบายให้ความสำคัญเว็บไซต์ที่เป็น Mobile Friendly และเลือกที่จะจัดอันดับเว็บไซต์ที่เป็น Mobile Friendly ให้ก่อน ซึ่งส่งผลดีต่อการทำ SEO มากๆ ค่ะ เพราะถ้าเว็บไซต์เราได้รับการจัดอันดับเร็วๆ และได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของหน้า Google เราก็มีโอกาสดึงดูด Traffic ได้มาก และสร้างโอกาสขายได้ดีขึ้นอีกด้วย

  1. Security 

เรียกว่าเป็นมาตรฐานของการทำเว็บไซต์เลยก็ว่าได้ค่ะ กับการทำให้เว็บของเราน่าเชื่อถือและปลอดภัยสำหรับการใช้งานโดยการทำ https ที่ช่วยยืนยันว่าการส่งผ่านข้อมูลในเว็บไซต์นี้จะถูกเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย มีการตรวจสอบสิทธิ์ และความสมบูรณ์ของข้อมูลระดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งการทำ https เป็นเรื่องที่ Search Engine อย่าง Google ให้ความสำคัญถึงขั้นออกเป็นนโยบายให้เว็บไซต์ทุกเว็บไซต์ที่จะใช้งาน Google Ads ต้องเป็น https และในการทำ SEO เองก็ใช้เกณฑ์ https เป็นหนึ่งในคะแนนที่จะพิจารณาการจัดอันดับของเว็บไซต์ด้วย 

ดังนั้น ใครที่คิดจะทำ SEM ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับเรื่อง https ด้วยนะคะ

Content

คนจะคลิกเข้าเว็บไซต์ของเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า Content ที่เราทำออกไปมีเนื้ิอหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า ซึ่ง Content ที่ใช้ทำ SEM นั้นจะต้องเป็น Content ที่…

  • เกี่ยวข้อง

ต้องเป็น Content ที่ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ นั่นคือ ทำเนื้อหาของ Content ให้ตรงกับคำ Keyword ที่เราเลือกใช้และตรงกับสินค้าหรือบริการของเรา เพราะคงไม่มีใครอยาก Search มาเจอในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ต้องการ 

ถ้าเราปล่อยให้เว็บไซต์ของเรามี Content ในเชิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Keyword หรือกลุ่มเป้าหมายมากๆ การทำ Paid Search หรือ SEO ก็จะไม่ได้ผล เพราะคนจะไม่เข้ามาคลิกอ่านบทความของเราอีก เมื่อไม่มี Traffic เข้าเว็บไซต์ Search Engine ก็มองว่า เว็บไซต์นี้ไม่น่าเชื่อถือและปรับอันดับบนหน้า Search Engine ให้ต่ำลง 

  • มีประโยชน์

นอกจากจะเป็น Content ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาแล้ว Content ที่เราทำลงเว็บไซต์จะต้องมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายจริงๆ ด้วย

เช่น ถ้าเราเขียนถึง Content ใน Keyword “รองเท้ากีฬายี่ห้อไหนดี” 

เนื้อหาด้านในก็ต้องนำเสนอข้อมูลที่เน้นการเปรียบเทียบรองเท้ากีฬาแต่ละยี่ห้อ โดยอาจจะทำออกมาในรูปแบบของการรีวิวที่ช่วยทำให้ผู้อ่านตัดสินใจได้ว่า รองเท้ายี่ห้อไหนเหมาะกับเขา จึงจะเรียกได้ว่ามีประโยชน์และช่วยแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมายได้จริง 

ซึ่งรูปแบบ Content ที่มีประโยชน์และเน้นคุณค่าจะช่วยสร้าง Traffic ที่มีคุณภาพให้กับเว็บไซต์ ทำให้ Search Engine อยากจะนำเสนอ Content ของเราเพื่อตอบสนองการค้นหาในเรื่องนั้นๆ ได้มากขึ้นด้วย

Shifu แนะนำ
สำหรับใครที่สนใจอยากทำ Content ให้ติดระบบ Search Engine ต้องอย่าลืมอ่าน Checklist เรื่องที่ต้องทำเพื่อให้เว็บเป็นที่รักของ Google ก่อนลงมือทำนะคะ

สรุป

เป็นอย่างไรบ้างคะกับการทำความรู้จักกับ SEM ในบทความนี้

จะเห็นว่า SEM เป็นรูปแบบการทำการตลาดที่สำคัญอีกรูปแบบหนึ่งสำหรับ Digital Marketer และเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่กำลังมองหาช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าและบริการผ่านระบบ Search Engine อย่าง Google ได้ง่ายขึ้น 

ซึ่งวิธีการที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ คุณต้องศึกษาและเรียนรู้การทำ SEO และ Paid Search ควบคู่กันไปเรื่อยๆ ไม่ควรเลือกทำแค่ในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น เพราะการทำการตลาดทั้ง 2 แบบดึงดูดกลุ่มลูกค้าด้วยวิธีที่ต่างกันและใช้ระยะเวลาที่ต่างกัน หากทำทั้ง 2 วิธีควบคู่กัน SEM ก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด

New call-to-action hbspt.cta.load(3944609, '24bba470-c8fe-4857-95ab-1b43dadf614d', {“region”:”na1″});

ตาคุณแล้ว

คราวนี้ถึงตาคุณแล้วค่ะ ที่จะนำความรู้ในครั้งนี้ไปคิดและเริ่มทำ SEM ให้กับธุรกิจของคุณนะคะ

ส่วนใครที่ยังไม่แน่ใจ อยากเรียนยิงแอดอย่างจริงจัง Content Shifu ก็มีคอร์สออนไลน์สอนยิงแอด Google Ads แบบเต็มๆ ครบตั้งแต่การวางแผน การสร้างแคมเปญ อ่าน Report จนถึงการ Optimize Ads ให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยค่ะ 

ลองแวะเข้าไปอ่านรายละเอียดกับ Course Outline ดูนะคะ ^^

แล้วถ้าใครได้ลองทำแล้ว ได้ผลหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็แชร์ไว้ด้านล่างได้เลย ถ้ามีเทคนิคดีๆ ในส่วนไหนที่น่าสนใจเราจะนำมาสรุปให้อ่านกันใหม่ในโอกาสหน้าอย่างแน่นอนค่ะ 🙂